วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อัพยยศัพท์

อัพยยศัพท์
อุปสัคอนุโภติ    ย่อมเสวย    มาจาก ภู ธาตุ ในความมี-เป็น    ลง อนุ    อุปสัคสังหารธาตุอภิภวติ    ย่อมครอบงำ    มาจาก ภู ธาตุ ในความมี-เป็น    ลง อภิ    อุปสัคสังหารธาตุปโหติ    เพียงพอ    มาจาก หุ ธาตุ ในความมี-เป็น    ลง      อุปสัคสังหารธาตุกลับความแต่ยังพอสังเกตความหมายของธาตุเดิมได้อยู่บ้าง   เช่นอาคจฺฉติ  ย่อมมา    มาจาก คมฺ ธาตุ  ในความไป    ลง อา     อุปสัคเบียนธาตุปราชยติ  ย่อมแพ้    มาจาก ชิ ธาตุ  ในความชนะ    ลง  ปรา    อุปสัคเบียนธาตุปฏิกฺกมติ  ย่อม(ก้าว)กลับ  มาจาก กมฺ ธาตุ  ในความก้าวไป    ลง ปฏิ    อุปสัคเบียนธาตุนิ  ที่แปลว่า  เข้า  ลงนิ  ที่แปลว่า  ไม่มี  ออกนิกุจฺฉติ    ย่อมงอ    นิทหติ    ย่อมตั้งลง (ฝัง)นิวาโส    ความเข้าอยู่นิพฺภโย    = นิ + ภโย    ไม่มีภัยนิกฺขนฺโต    = นิ + ขนฺโต    ออกแล้วนิกฺกฑฺฒติ    = นิ + กฑฺฒติ    ย่อมคร่าออกนิบาตปัจจัยสำหรับลงท้ายธาตุ    เป็นเครื่องหมายกิริยาและวิภัตติ 1.    โต    1  ตัว 2.    ตฺร  ตฺถ      ธิ  หึ  หํ  หิญฺจนํ      9  ตัว 3.    ทา  ทานิ  รหิ  ธุนา  ทาจนํ  ชฺช  ชฺชุ    7  ตัว 4.    ตเว  ตุํ  ตูน  ตฺวา  ตฺวาน    5  ตัวเป็นเครื่องหมายตติยาวิภัตติ แปลว่า “ข้าง”  เช่น เอกโต ข้างเดียว  อุภโต ข้างทั้งสองเป็นเครื่องหมายปัญจมีวิภัตติ แปลว่า “แต่”  เช่น ยโต แต่-ใด  ตโต    แต่-นั้นเป็นเครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ แปลว่า “ใน” อย่างเดียว  เช่น ยตฺถ ใน-ใด  ตตฺถ ใน-นั้นเป็นเครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ แปลว่า “ใน” อย่างเดียว  (ใช้บอกกาลเท่านั้น) เช่น  ยทา ในกาลใด  ตทา ในกาลนั้นอาขยาต
ธาตุ        ปัจจัย     วิภัตติ    |               |             |อรรถ        วาจก    กาล-บท-วจนะ-บุรุษธาตุ ** เช่น  คม ธาตุในความไป, เดิน    ก็คือ  คม ธาตุ แปลว่า/มีความหมายว่า ไป, เดิน  นั่นเอง (ภู รุ ทิ สุ  กี ค ต จุ)      (อ เอ ย ณุ ณา นา ณฺหา โอ เณ ณย) 1.    สกัมมธาตุ  ธาตุเรียกหากรรม (คือ สิ่งที่ถูกทำ) 2.    อกัมมธาตุ  ธาตุไม่เรียกหากรรม     (สกัมมกิริยา  กิริยาที่เรียกหากรรม     อกัมมกิริยา  กิริยาที่ไม่เรียกหากรรม)วิภัตติ (declension)มีบุรุษ 3 คือ ปฐมบุรุษ  มัชฌิมบุรุษ และ อุตตมบุรุษ  รวมทั้งหมดมีวิภัตติ 96 ตัว  
1. วตฺตมานา 
ปัจจุบันกาล (อยู่, ย่อม, จะ)


ปรัสสบท
อัตตโนบท


เอกวจนะ
พหุวจนะ
เอกวจนะ
พหุวจนะ

ป.
ม.
อุ.
ติ
สิ  
มิ
อนฺติ 

เต
เส
เอ
อนฺเต
วฺเห
มฺเห

2. ปญฺจมี
บังคับ, หวัง, อ้อนวอน (จง, เถิด, ขอจง)

ป.
ม.
อุ.
ตุ
หิ
มิ
อนฺตุ

ตํ
สฺสุ
เอ
อนฺตํ
วโห
อามฺหเส

3. สตฺตมี
ยอมตาม, กำหนด, รำพึง (ควร, พึง, พึง)

ป.
ม.
อุ.
เอยฺย เอถ เอ
เอยฺยาสิ
เอยฺยามิ
เอยฺยุํ
เอยฺยาถ
เอยฺยาม
เอถ
เอโถ
เอยฺยํ
เอรํ
เอยฺยวฺโห
เอยฺยามฺเห

4. ปโรกฺขา
อดีตกาล (แล้ว)

ป.
ม.
อุ.

เอ
อํ
อุ
ตฺถ
มฺห
ตฺถ
ตฺโถ
อึ
เร
วฺโห
มฺเห

5. หิยตฺตนี
อดีตกาล (‘แล้ว’ ถ้ามี อ นำหน้า ‘ได้...แล้ว’)

ป.
ม.
อุ.
อา
โอ
อํ
อู
ตฺถ
มฺห
ตฺถ
เส
อึ
ตฺถุํ
วฺหํ
มฺหเส

6. อชฺชตฺตนี
อดีตกาล (‘แล้ว’ ถ้ามี อ นำหน้า ‘ได้...แล้ว’)

ป.
ม.
อุ.
อี
โอ อี
อึ
อุํ  อึสุ อํสุ
ตฺถ
มฺหา
อา
เส
อํ
อู
วฺหํ
มฺเห

7. ภวิสฺสนฺติ
อนาคตกาล (จัก)

ป.
ม.
อุ.
สฺสติ

สฺสสิ
สฺสามิ
สฺสนฺติ
สฺสถ
สฺสาม
สฺสเต
สฺสเส
สฺสํ
สฺสนฺเต
สฺสวฺเห
สฺสามฺเห

8. กาลาติปตฺติ
อนาคตกาลของอดีต (‘จัก...แล้ว ’ ถ้า มี อ นำหน้า ‘จักได้..แล้ว’)

ป.
ม.
อุ.
สฺสา
สฺเส
สฺสํ
สฺสํสุ
สฺสถ
สฺสามฺหา
สฺสถ
สฺสเส
สฺสํ
สฺสึสุ
สฺสวฺเห
สฺสามฺหเส
* วิภัตติที่ขีดเส้นใต้ คือ ใช้แทนวิภัตติฝ่ายปรัสสบทในตำแหน่งที่ตรงกันได้วิภัตติอาขยาต ใช้ลงท้ายธาตุ  บอกให้รู้ กาล  บท  วจนะ  บุรุษวิภัตตินาม ลงท้ายนามศัพท์ แจกตามลิงค์ และ การันต์  ของนามนั้นวิภัตติอาขยาต ลงท้ายธาตุ  แจกตามบุรุษ และ วจนะ  ของนามที่เป็นประธาน              2) แปลงเป็น เร*  เช่น  วุจฺจเร  ย่อมกล่าว, โสจเร ย่อมเศร้าโศกเทียบมาตราเสียง: วุจฺจนฺติ _ _ . กับ วุจฺจเร _ . _ ใช้ในการแต่งฉันท์ ให้เสียงลงครุลหุได้ง่ายขึ้น)        2) ใช้ สฺสุ แทนบ้าง   เช่น กรสฺสุ  จงทำ           2) ใช้ เอถ แทนบ้าง  เช่น  ลเภถ  พึงได้           3) แปลงเป็น อา บ้าง เช่น  กยิรา พึงทำ     ไม่มีการเปลี่ยนแปลง       2) มักลง ส อาคม  เช่น  อกาสุํ  ได้ทำแล้วลภ -ได้    แปลงเป็น ลจฺฉ    ลจฺฉติ = ลภิสฺสติ    จักได้ ทิส -เห็น    แปลงเป็น ทกฺข    ทกฺขติ = ปสฺสิสฺสติ    จักเห็นกร -ทำ    แปลงเป็น กาห    กาหติ = กริสฺสติ    จักทำวส -อยู่    แปลงเป็น วจฺฉ    วจฺฉติ = วสิสฺสติ    จักอยู่
ประโยคแสดงปัจจุบันกาล
Present tense
วัตตมานา (อยู่ ย่อม จะ)
ประโยคแสดงอดีตกาล
Past tense
อัชชัตตนี, หิยัตตนี, ปโรกขา (แล้ว)
ประโยคแสดงอนาคตกาล
Future tense
ภวิสสันติ (จัก)
ประโยคที่กล่าวตรงข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
Unreal condition
กาลาติปัตติ (จัก...แล้ว)
ประโยคคำสั่ง บังคับ ขอร้อง
Imperative tense
ปัญจมี (จง, เถิด, ขอจง)
ประโยคแนะนำ
Advice
สัตตมี (ควร, พึง)
กาล
  • เตนาห ภควา. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสแล้ว.
  • เตนาหุ โปราณา. ด้วยเหตุนั้น พระอาจารย์มีในปางก่อน ท. กล่าวแล้ว.
  • ขโณ โว มา อุปจฺจคาขณะ อย่าได้เข้าไปล่วงแล้ว ซึ่งท่าน ท.
  • อหํ เอวํ อวจํเรา ได้กล่าวแล้ว อย่างนี้.
  • เถโร คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ. พระเถระ ได้เข้าไปแล้ว สู่บ้าน เพื่อบิณฑะ
  • เอวรูปํ กมฺมํ อกาสึ. ผม ได้ทำแล้ว ซึ่งกรรม มีอย่างนี้เป็นรูป.
  • ธมฺมํ สุณิสฺสาม. เรา ท. จักฟัง ซึ่งธรรม.
  • โส เจ ยานํ อลภิสฺสา, อคจฺฉิสฺสา. ถ้าว่า เขา จักได้ได้แล้ว ซึ่งยาน ไซร้, เขา จักได้ไปแล้ว.
  • บอกความบังคับ แปลว่า จง เช่น  เอวํ วเทหิ. เจ้า จงกล่าว อย่างนี้.
  • บอกความหวัง แปลว่า เถิด เช่น  สพฺเพ สตฺตา อเวรา โหนฺตุ. สัตว์ ท. ทั้งปวง เป็นผู้มีเวรหามิได้ เถิด.
  • บอกความอ้อนวอน แปลว่า ขอ...จง เช่น  ปพฺพาเชถ มํ ภนฺเต. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่าน ท. ขอจงยังข้าพเจ้า ให้บวช.
  • บอกความยอมตาม แปลว่า ควร เช่น  ภเชถ ปุริสุตฺตเม. ชน ควรคบ ซึ่งบุรุษสูงสุด ท.
  • บอกความกำหนด แปลว่า พึง เช่น  ปุญฺญญฺเจ ปุริโส กยิรา. ถ้าว่า บุรุษ พึงทำ ซึ่งบุญ ไซร้.
  • บอกความรำพึง แปลว่า พึง เช่น  ยนฺนูนาหํ ปพฺพเชยฺยํ. ไฉนหนอ เรา พึงบวช.
 บท
  • ชโน กุมารํ ปหรติ - ชน ตี เด็ก ชโน เป็นประธานของกิริยาตี คือ ปหรติ ส่งผลต่อเด็ก คือ กุมารํ
  • ชเนน กุมาโร ปหริยเต - เด็ก อันชน ตี กุมาโร เป็นประธานของกิริยาตี คือ ปหริยเต ซึ่งส่งผลต่อประธาน คือตัวเด็กเอง
อัตตโนบท เป็นเครื่องหมาย กัมมวาจก ภาววาจก และ เหตุกัมมวาจก วจนะวจนะในกิริยาอาขยาต แบ่งเป็น 2 คือ เอกวจนะ และพหุวจนะ เช่นเดียวกับวจนะของนามศัพท์วจนะอาขยาต ใช้ประกอบกิริยา ให้ตรงกับวจนะของประธาน จึงทำให้รู้ว่า ประธานในประโยคนั้นๆ เป็น เอกวจนะ หรือพหุวจนะเต คจฺฉนฺติ. เขา ท. จะไป.
  • อุปาสโก จ อุปาสิกา จ อารามํ คจฺฉนฺติ. อุบาสก ด้วย อุบาสิกา ด้วย จะไป สู่วัด.
  • อุปาสโก วา อุปาสิกา วา อารามํ คจฺฉติ. อุบาสก หรือ หรือว่า อุบาสิกา จะไป สู่วัด.
 บุรุษ

เอกวจนะ

พหุวจนะ

ปฐมบุรุษ
ชโน, โส, สา, ตํ
ยาติ
ชนา, เต, ตา, ตานิ
ยนฺติ
มัชฌิมบุรุษ
ตฺวํ
ยาสิ
ตุมฺเห
ยาถ
อุตตมบุรุษ
อหํ
ยามิ
มยํ
ยาม
  • (ตฺวํ) เอวํ วเทหิ.   (เจ้า) จงกล่าว อย่างนี้
  • (ตุมฺเห) คจฺฉถ ภนฺเต.   ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (ท่าน ท.) ไปเถิด
  • (ตฺวํ) อตฺตโน ปมาณํ น ชานาสิ.   (เจ้า) ย่อมไม่รู้ ซึ่งประมาณ ของตน
  • (ตุมฺเห) ธมฺมํ เทเสถ ภนฺเต.   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ ขอจงแสดง ซึ่งธรรม. (กรณีแบบนี้ มติบาลีสนามหลวง แปลไม่ออก ท.)
  • อหเมว ตวญฺจ ชานาม.  ในประโยคนี้มี มัชฌิมบุรุษและอุตตมบุรุษ จึงประกอบกิริยาเป็นอุตตมบุรุษ คือ ชานาม
 ปัจจัย
  • กัตตุวาจก ลงปัจจัย 10 ตัว คือ อ เอ ย ณุ ณา นา ณฺหา โอ เณ ณย
  • กัมมวาจก ลง ปัจจัย กับ อิ อาคมหน้า ย
  • ภาววาจก ลงปัจจัย (และ เต วัตตมานา)
  • เหตุกัตตุวาจก ลงปัจจัย 4 ตัว คือ เณ ณย ณาเป ณาปย
  • เหตุกัมมวาจก ลงปัจจัย 10 ตัวนั้นด้วย ลงเหตุปัจจัยคือ ณาเป ด้วย ลง ปัจจัยกับทั้ง อิ อาคม หน้า ย ด้วย (มีรูปเป็น -าปิย)
หรือลง ย ปัจจัยแล้ว ถ้าไม่ลง อิ อาคม ให้แปลง ย กับที่สุดธาตุ เป็นอย่างอื่น เช่น ปจฺจเต, ลพฺภเตเฉพาะที่ลงท้ายด้วย อา ลบ อา เสีย  แล้วลง ย กับทั้ง อิ อาคม หน้า ย บ้าง เช่น ทิยเต, ทิยฺยเตลง ย ปัจจัย กับ เต วัตตมานา เช่น ภูยเต คมยเต
  • สระต้นธาตุเป็น อ    ให้แปลงเป็น อา
  • สระต้นธาตุเป็น อิ อี    ให้แปลงเป็น เอ    หรือแปลง เอ เป็น อย ต่อไปด้วย
  • สระต้นธาตุเป็น อุ อู    ให้แปลงเป็น โอ    หรือแปลง โอ เป็น อว ต่อไปด้วย
อาคม สำหรับลงหน้าธาตุที่ประกอบด้วยวิภัตติในหมวด หิยัตตนี อัชชัตตนี กาลาติปัตติอิ อาคม สำหรับลงท้ายธาตุที่ประกอบด้วยวิภัตติในหมวด ปโรกขา อัชชัตตนี ภวิสสันติ กาลาติปัตติ อาคม สำหรับลงท้ายธาตุที่ประกอบด้วยวิภัตติในหมวด อัชชัตตนี อาคม  สำหรับลงท้าย ฐา* ธาตุ (ยืน, ตั้ง) ที่มีอุปสัคอยู่หน้า  (เช่น ปติ-ฐา เป็น ปติฏฺฐา  ลง ห อาคม เป็น ปติฏฺฐห)นิคคหิตอาคม สำหรับลงหน้าพยัญชนะที่สุดธาตุ ในหมวด รุธ ธาตุ
  • พุภุกฺขติ (ภุช-ข-ติ) ย่อมปรารถนาจะกิน ภุช ‘กิน’
  • ชิคจฺฉติ (ฆส-ฉ-ติ) ย่อมปรารถนาจะกิน ฆส ‘กิน’
  • ชิคึสติ (หร-ส-ติ) ย่อมปรารถนาจะนำไป หร ‘นำไป’
  • สุสฺสูสติ (สุ-ส-ติ) ย่อมปรารถนาจะฟัง สุ ‘ฟัง’
  • ปิวาสติ (ปา-ส-ติ) ย่อมปรารถนาจะดื่ม ปา ‘ดื่ม’
  • ติกิจฺฉติ (กิต-ฉ-ติ) ย่อมเยียวยา กิต ‘รักษา เยียวยา’
  • จิรายติ ประพฤติช้าอยู่  จิร ‘ช้า นาน’
  • ปุตฺติยติ ย่อมประพฤติเพียงดังบุตร ปุตฺต ‘บุตร’
  • ปพฺพตายติ ย่อมประพฤติเพียงดังภูเขา ปพฺพต ‘ภูเขา’
  • ธูมายติ ย่อมประพฤติเพียงดังควัน ธูม ‘ควัน’
  • นิทฺทายติ ย่อมประพฤติหลับ นิทฺทา ‘ความหลับ’
 วาจกวาจก หมายถึง กิริยาศัพท์ที่ประกอบด้วยปัจจัย ซึ่งแสดงให้ทราบว่า ผู้ใดหรือสิ่งใดเป็นประธานในประโยคกัตตา หมายถึง ผู้ทำกิริยานั้นๆ มีทั้งกัตตาที่เป็นประธาน และกัตตาที่ไม่ได้เป็นประธาน ในประโยคในประโยคเหตุกัมมวาจก กิริยาสกัมมธาตุ หมายถึง สิ่งที่เขาใช้ให้บุคคลทำ หรือ ผู้ที่ถูกใช้ให้ทำ เป็นประธานในประโยคเหตุกัมมวาจก กิริยาอกัมมธาตุ หมายถึง ผู้ที่ถูกใช้ให้ทำ เป็นประธานกัมมวาจก ใช้ได้เฉพาะ สกัมมธาตุ อย่างเดียวภาววาจก ใช้ได้เฉพาะ อกัมมธาตุ อย่างเดียวสกัมมธาตุเป็นได้ 4 วาจก คือ กัตตุวาจก กัมมวาจก เหตุกัตตุวาจก เหตุกัมมวาจก (เว้นภาววาจก)อกัมมธาตุเป็นได้ 4 วาจก คือ กัตตุวาจก เหตุกัตตุวาจก เหตุกัมมวาจก ภาววาจก (เว้นกัมมวาจก)กัตตุวาจก ประธานเป็นผู้ทำกิริยา, เหตุกัตตุวาจก ประธานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นทำกิริยา กัมมวาจก ประธานเป็นกรรมของกิริยา,ภาววาจก ประธานคือ ความมีความเป็น ได้แก่ตัวกิริยาเอง, เหตุกัมมวาจก ประธานเป็นกรรมของกิริยา ที่มีผู้อื่นใช้ให้ทำ
ธาตุ
ปัจจัย
กิริยา

คำแปล
ชุต
อล
โชตลติ
= โชตติ โชเตติ
รุ่งเรือง
ตร
อาร
สนฺตารติ
= สนฺตรติ
ข้ามด้วยดี
กม
อาล
อุปกฺกมาลติ
= อุปกฺกมติ
ก้าวเข้าไป
รุธ
อิ อี
รุนฺธิติ รุนฺธีติ
= รุนฺเธติ รุนฺธยติ
ปิด, กั้น
อป
อุณา
ปาปุณาติ

ถึง, บรรลุ
คห (แปลงเป็น เฆ)
ปฺป
เฆปฺปติ
= คณฺหาติ
ถือเอา
กร
ยิร
กยิรา
= กเรยฺย
พึงทำ
วตฺตมานา
ป.
ม.
อุ.
อตฺถิ
อสิ
อมฺหิ อสฺมิ
อตฺถิ สนฺติ
อตฺถ
อมฺห อสฺม

ปญฺจมี
ป.
ม.
อุ.
อตฺถุ
อาหิ
อมฺหิ
สนฺตุ
อตฺถ
อมฺห

สตฺตมี
ป.
ม.
อุ.
อสฺส
อสฺส
อสฺสํ
อสฺสุ อสฺสุํ
อสฺสถ
อสฺสาม


ป.
ม.
อุ.
สิยา
-
สิยํ
สิยุํ สิยํสุ
-
-

อชฺชตฺตนี
ป.
ม.
อุ.
อาสิ อาสี
อาสิ อาสี
อาสึ
อาสุํ
อาสิตฺถ
อาสิมฺหา

หิยตฺตนี
ป.
ม.
อุ.
-
-
-
-
อาสิตฺถ
-

สนฺโต สปฺปุริสา โลเก 'เทวธมฺมาติ วุจฺจเร.เต ยนฺติ อจฺจุตํ ฐานํ    ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจเร.

ข้อมูลในหน้านี้รอรับการปรับปรุง เพิ่มเติม
อัพยยศัพท์ (Affixation) คือ ศัพท์ที่แจกด้วยวิภัตติ 7 หมวด เหมือนนามนามไม่ได้  คงรูปอยู่อย่างเดิม   แบ่งเป็น 3 คือ
1.               อุปสัค (prefix)
2.               นิบาต
3.               ปัจจัย (suffix)

อุปสัค แปลว่า ขัดข้อง
อุปสัค ใช้นำหน้านามและกิริยาให้วิเศษขึ้น   เมื่อนำหน้านาม* มีอาการคล้ายคุณศัพท์  เมื่อนำหน้ากิริยา มีอาการคล้ายกิริยาวิเสสนะ  (* เฉพาะนามนามและคุณนาม)
ใช้นำหน้านามนามให้วิเศษขึ้น มีอาการคล้ายคุณศัพท์  เช่น
อติปณฺฑิโต เป็นบัณฑิตยิ่ง    อธิสกฺกาโร สักการะยิ่ง
ใช้นำหน้าคุณนาม ให้มีเนื้อความดียิ่งขึ้น  เช่น
อติสุนทโร ดียิ่ง       อภิปฺปสนฺโน เลื่อมใสยิ่ง  สุคนฺโธ มีกลิ่นดี
ใช้นำหน้ากิริยา มีอาการคล้ายกิริยาวิเสสนะ  เช่น
อติกฺกมติ ย่อมก้าวล่วง    อธิเสติ ย่อมนอนทับ
อุปสัคมี 3 ชนิด คือ
1.               อุปสัคสังหารธาตุ ใช้นำหน้าธาตุแล้ว ทำให้ความหมายของธาตุเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง  เช่น
2.               อุปสัคเบียนธาตุ  เมื่อใช้นำหน้าธาตุแล้ว ทำให้ความหมายของธาตุ เปลี่ยนไปเล็กน้อยบ้าง  หรือ
นิ  มีอยู่ 2 ศัพท์ คือ
นิ ที่แปลว่า เข้า  ลง    เวลาใช้นำหน้านามหรือกิริยา   คง นิ ไว้เฉยๆ เช่น
นิมุคฺโค    ดำลงแล้ว    นิคจฺฉติ    ย่อมเข้าถึง
นิ ที่แปลว่า ไม่มี  ออก  เวลาใช้นำหน้านามหรือกิริยา  มักซ้อน หรือ ลง ร อาคม   เช่น
นิรนฺตราโย    = นิ + อนฺตราโย    ไม่มีอันตราย
ถ้าอยู่หน้า ร หรือ ห  จะซ้อนหรือลง ร อาคม ไม่ได้   ในที่เช่นนี้ต้องทีฆะ   เช่น
นีหรณํ  การนำออก    นีรโส  ไม่มีรส    นีโรโค  ไม่มีโรค

นิบาต ใช้ลงในระหว่างนามศัพท์บ้าง กิริยาศัพท์บ้าง  บอก
1.               อาลปนะ
2.               กาล
3.               ที่
4.               ปริเฉท
5.               อุปไมย
6.               ปฏิเสธ
7.               ความได้ยินเล่าลือ
8.               ความปริกัป
9.               ความถาม
10.         ความรับ
11.         ความเตือน

สำหรับลงท้ายนามศัพท์    เป็นเครื่องหมายวิภัตติ
ปัจจัยอัพยยศัพท์นี้ มีทั้งหมด 22 ตัว แบ่งเป็น 4 พวก คือ
1.               ปัจจัย 1 ตัว คือ โต ปัจจัย  ใช้ต่อท้ายนามนามและสัพพนาม 
2.               ปัจจัย 9 ตัว คือ  ตฺร  ตฺถ      ธิ  หึ  หํ  หิญฺจนํ    ใช้ต่อท้ายสัพพนามเท่านั้น  
3.               ปัจจัย 7 ตัว คือ  ทา  ทานิ  รหิ  ธุนา  ทาจนํ  ชฺช  ชฺชุ   ใช้ต่อท้ายสัพพนามเท่านั้น  


ชีทประกอบการศึกษา:  1) แบบอาขยาต   2) แผนผังวาจก   3) ธาตุลงปัจจัย เป็นฐาน (base) สำหรับลงวิภัตติประกอบเป็นกิริยา  pdf   หน้าเว็บ

อาขยาต หมายถึง  ศัพท์กิริยาที่แสดงการกระทำของนามนาม  เช่น  ยืน  เดิน  นั่ง  นอน  เป็นต้น
กิริยาอาขยาต มีส่วนประกอบ 8 อย่าง คือ  ธาตุ    ปัจจัย วาจก   วิภัตติ กาล  บท  วจนะ  บุรุษ
ส่วนประกอบเหล่านี้ ที่นำมาประกอบเป็นรูปกิริยา มี 3 อย่าง คือ
1.               ธาตุ (root) บอกให้รู้ ความหมายของกิริยา
2.               ปัจจัย (suffix)  บอกให้รู้ วาจก
3.               วิภัตติ (declension)   บอกให้ รู้ กาล  บท  วจนะ  บุรุษ
วทฺ    +           +     ติ         =     วทติ

ธาตุ คือ รากศัพท์ (root) ของกิริยา*    ธาตุบอกอรรถ** คือความหมายของกิริยานั้น
* ธาตุ คือ รากศัพท์ ของกิริยาศัพท์ และนามศัพท์ (นามศัพท์ที่สำเร็จมาจากธาตุ)
ธาตุ เมื่อลงปัจจัย (อาขยาต)  ลงวิภัตติ (อาขยาต) แล้ว  สำเร็จเป็นกิริยาอาขยาต  จึงนำไปใช้ในประโยคได้
ธาตุจัดเป็น 8 หมวด  ตามที่ประกอบด้วยปัจจัยตัวเดียวกัน  คือ
1.               หมวด ภู ธาตุ   ลง  (เอ)1 ปัจจัย
2.               หมวด รุธ ธาตุ   ลง  (เอ)2  ปัจจัย  และลงนิคคหิตอาคม หน้าพยัญชนะที่สุดธาตุ
3.               หมวด ทิว ธาตุ  ลง    ปัจจัย
4.               หมวด สุ ธาตุ   ลง  ณุ ณา  ปัจจัย
5.               หมวด กี ธาตุ   ลง  นา  ปัจจัย
6.               หมวด คห ธาตุ  ลง  ณฺหา  ปัจจัย
7.               หมวด ตน ธาตุ  ลง  โอ  ปัจจัย
8.               หมวด จุร ธาตุ   ลง  เณ ณย  ปัจจัย
1 แปลง อ เป็น เอ    2 ลง เอ เฉพาะ รุธ ธาตุ?
ธาตุแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
การเปลี่ยนแปลงสระของธาตุ
1.               ธาตุพยางค์เดียว มีสระ อิ อี เป็นที่สุด  แปลง อิ อี เป็น  เอ บ้าง    แล้วแปลง เอ เป็น อย ต่อไปบ้าง  เช่น เป็น  เส  และเป็น  สยกี  เป็น  เก  และเป็น  กย
2.               ธาตุพยางค์เดียว มีสระ อุ อู เป็นที่สุด  แปลง อุ อู เป็น โอ บ้าง    แล้วแปลง โอ เป็น อว  ต่อไปบ้าง  เช่น  เป็น โภ  และเป็น  ภว, หุ  เป็น  โห
3.               ธาตุสองพยางค์  สระต้นธาตุเป็น อิ อี    แปลง อิ อี เป็น เอ บ้าง  เช่น  ภิท เป็น เภท  ลิป เป็น เลป
4.               ธาตุสองพยางค์  สระต้นธาตุเป็น อุ อู    แปลง อุ อู เป็น โอ บ้าง  เช่น  รุธ เป็น โรธ   ภุช เป็น โภช

วิภัตติอาขยาต แบ่งเป็น 8 หมวด คือ
1.               วตฺตมานา    บอกปัจจุบันกาล  ปัจจุบันแท้-ปัจจุบันใกล้อดีต-ปัจจุบันใกล้อนาคต
2.               ปญฺจมี    บอกความบังคับ ความหวัง ความอ้อนวอน
3.               สตฺตมี    บอกความยอมตาม ความกำหนด ความรำพึง
4.               ปโรกฺขา    บอกอดีตกาล ล่วงแล้วไม่มีกำหนด
5.               หิยตฺตนี    บอกอดีตกาล ล่วงแล้ววานนี้
6.               อชฺชตฺตนี    บอกอดีตกาล ล่วงแล้ววันนี้
7.               ภวิสฺสนฺติ    บอกอนาคตกาล ของปัจจุบัน
8.               กาลาติปตฺติ    บอกอนาคตกาล ของอดีต
ในหมวดหนึ่งๆ  มีวิภัตติ 12 ตัว คือ  ฝ่ายปรัสสบท 6 และอัตตโนบท 6   มี 2 วจนะ 
* ใช้วิภัตติฝ่ายปรัสสบทเป็นหลัก ฝ่ายอัตตโนบทใช้น้อย

วิภัตตินาม กับ วิภัตติอาขยาต ต่างกัน
วิภัตตินาม ใช้แจกนามศัพท์  บอกให้รู้ ลิงค์  วจนะ  การันต์ และ อายตนิบาต
การแจกวิภัตตินาม และ อาขยาต
ในวิภัตติ 8 หมวดนั้น  เมื่อประกอบกับธาตุแล้ว  บางตัวเปลี่ยนรูปไป  ดังนี้
วตฺตมานา
1.               ติ:    ใช้ เต แทนบ้าง  เช่น  ชายเต  ย่อมเกิด
2.               อนฺติ:    1) ใช้ อนฺเต แทนบ้าง   เช่น  ปุจฺฉนฺเต  ย่อมถาม
3.               มิ ม:    ทีฆะ อ ที่สุดธาตุ เป็น อา  เช่น  วทามิ  วทาม
(หลักการแปลง อนฺติ เป็น เร: 1. ข้างหน้า อนฺติ ต้องเป็นรัสสะ 2. หน้ารัสสะเป็นทีฆะหรือสังโยค.
ปญฺจมี
1.               ตุ:    ใช้ ตํ แทนบ้าง  เช่น  ชยตํ จงชนะ
2.               หิ มิ ม:    หิ มิ ม อยู่หลัง  ทีฆะที่สุดธาตุ  เช่น  คจฺฉาหิ จงไป
3.               หิ:    1) ลบ หิ บ้างก็ได้ แต่ลบแล้วไม่ต้องทีฆะที่สุดธาตุ  เช่น  คจฺฉ  จงไป
สตฺตมี
1.               เอยฺย:  1) ลบ ยฺย เหลือ เอ  เช่น  กเร  พึงทำ
2.               เอยฺยามิ:    ใช้ เอยฺยํ แทน  เช่น  ลเภยฺยํ  พึงได้
ปโรกฺขา
หิยตฺตนี
1.               ลง อ อาคมที่ต้นธาตุเสมอ
2.               อา:   รัสสะ อา เป็น อ บ้าง  เช่น  อโวจ ได้กล่าวแล้ว
อชฺชตฺตนี
1.               อี:   รัสสะ อี เป็น อิ  เช่น  กริ  ทำแล้ว
2.               อุํ:   1) มักแปลงเป็น อึสุ  และแปลงเป็น อํสุ บ้าง เช่น อกํสุ อกรึสุ ได้ทำแล้ว
3.               โอ:   ใช้ อี แทน (และรัสสะเป็น อิ)
ภวิสฺสนฺติ
1.               ลง อิ อาคมหลังธาตุทั้งหมด
2.               สฺสามิ:   ใช้ สฺสํ แทนบ้าง
3.               ธาตุบางตัว เมื่อลงวิภัตติหมวดภวิสสันติแล้ว ให้ลบ สฺส  แล้วแปลงตัวธาตุไปบ้าง ดังนี้
วจ -กล่าว    แปลงเป็น วกฺข    วกฺขติ = วจิสฺสติ    จักกล่าว
กาลาติปตฺติ
1.               ลง อ อาคมต้นธาตุ  ลง อิ อาคมหลังธาตุ  เช่น อกริสฺสา
2.               สฺสา:   มักรัสสะ เป็น สฺส  เช่น  อกริสฺส
ความนิยมใช้วิภัตติอาขยาตแต่ละหมวด
1.               ปโรกฺขา  ไม่นิยมใช้เลย  คงใช้เฉพาะปฐมบุรุษ อ อุ เท่านั้น
2.               หิยตฺตนี และ กาลาติปตฺติ  มีใช้น้อย
3.               อชฺชตฺตนี  ใช้มากที่สุด  รองลงมาคือ วตฺตมานา ปฺจมี สตฺตมี อชฺชตฺตนี ภวิสฺสนฺติ

กาล คือ เวลา หมายถึง เวลาที่ทำกิริยานั้นๆ
กาล โดยย่อมี คือ
1.               ปัจจุบันกาล    คือ กาลที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
2.               อดีตกาล    คือ กาลที่ล่วงแล้ว
3.               อนาคตกาล    คือ กาลที่ยังไม่มาถึง
กาลทั้ง 3 นี้  แบ่งให้ละเอียดออกไปอีก    ใช้วิภัตติ 8 หมวดเป็นเครื่องหมาย  ดังนี้
ปัจจุบันกาล แบ่งเป็น 3 คือ
1.               ปัจจุบันแท้ แปลว่า อยู่ เช่น  ภิกฺขุ ธมฺมํ เทเสติ. ภิกษุ แสดงอยู่ ซึ่งธรรม.
2.               ปัจจุบันใกล้อดีต แปลว่า ย่อม เช่น  กุโต นุ ตฺวํ อาคจฺฉสิ.  ท่าน ย่อมมา แต่ที่ไหน หนอ.
3.               ปัจจุบันใกล้อนาคต แปลว่า จะ เช่น กึ กโรมิ. ผม จะทำ ซึ่งอะไร.
ปัจจุบันกาลนี้ บอกให้รู้ด้วย วัตตมานาวิภัตติ
อดีตกาล แบ่งเป็น 3 คือ
1.               ล่วงแล้วไม่มีกำหนด แปลว่า แล้ว บอกให้รู้ด้วย ปโรกขาวิภัตติ เช่น 
2.               ล่วงแล้ววานนี้ แปลว่า แล้ว ถ้ามี อ นำหน้า แปลว่า ได้แล้ว บอกให้รู้ด้วย หิยัตตนีวิภัตติ เช่น
3.               ล่วงแล้ววันนี้ แปลว่า แล้ว ถ้ามี อ นำหน้า แปลว่า ได้แล้ว บอกให้รู้ด้วย อัชชัตตนีวิภัตติ เช่น
อนาคตกาล แบ่งเป็น 2 คือ
1.               อนาคตของปัจจุบัน แปลว่า จัก บอกให้รู้ด้วย ภวิสสันติวิภัตติ เช่น
2.               อนาคตของอดีต แปลว่า จัก...แล้ว ถ้ามี อ นำหน้า แปลว่า จักได้...แล้ว  บอกให้รู้ด้วย กาลาติปัตติวิภัตติ เช่น

ปัญจมีวิภัตติ และ สัตตมีวิภัตติ ไม่บอกกาลอะไร แต่สงเคราะห์เข้าในปัจจุบันกาล
ปัญจมีวิภัตติ
สัตตมีวิภัตติ

บท แบ่งเป็น 2 คือ
1. ปรัสสบท บทเพื่อผู้อื่น กิริยาอาขยาตที่ประกอบด้วยวิภัตติบทนี้ เป็นกิริยาของประธาน ที่ส่งผลแก่ผู้อื่น เช่น
2. อัตตโนบท บทเพื่อตน กิริยาอาขยาตที่ประกอบด้วยวิภัตติบทนี้ เป็นกิริยาของประธาน ที่ส่งผลต่อประธานเอง เช่น
ปรัสสบท เป็นเครื่องหมาย กัตตุวาจก และ เหตุกัตตุวาจก
แต่บทในกิริยาอาขยาตนั้น ใช้เป็นเครื่องหมายวาจกไม่ได้แน่นอนเหมือนปัจจัย เพราะใช้ปรัสสบทแทนอัตตโนบทใช้ในประโยคกัมมวาจกก็มี ใช้อัตตโนบทแทนปรัสสบทในประโยคกัตตุวาจกก็มี

วจนะนาม กับ วจนะอาขยาต ต่างกัน
วจนะนาม ใช้ประกอบนาม บอกให้รู้ว่า นามนั้น มีจำนวน หนึ่งหรือมากกว่าหนึ่ง
วจนะอาขยาตนี้ ประธานเป็นวจนะใด กิริยาอาขยาตต้องเป็นวจนะเดียวกัน เช่น
โส คจฺฉติ. เขา จะไป.
ถ้าในประโยคนั้น ประธาน มีหลายศัพท์ และกล่าวรวมกัน ด้วย จ ศัพท์ (แปลว่า ‘ด้วย, และ’) ในประโยคเช่นนั้น ต้องประกอบกิริยาให้เป็นพหุวจนะเสมอ (ไม่ว่าประธานเหล่านั้นจะเป็นวจนะอะไร)
แต่ถ้าประธานมีหลายศัพท์ และเป็นเอกวจนะทั้งหมด กล่าวแยกกัน ด้วย วา ศัพท์ (แปลว่า ‘หรือ’) ให้ประกอบกิริยาเป็นเอกวจนะตามปกติ

ในอาขยาต จัดบุรุษเป็น 3 เหมือนสัพพนาม คือ ปฐมบุรุษ มัชฌิมบุรุษ และ อุตตมบุรุษ
1.               ปฐมบุรุษ ใช้ นามนาม หรือ ปุริสสัพพนาม คือ ศัพท์ เป็นประธาน
2.               มัชฌิมบุรุษ ใช้ ปุริสสัพพนาม คือ ตุมฺห ศัพท์ เป็นประธาน
3.               อุตตมบุรุษ ใช้ ปุริสสัพพนาม คือ อมฺห ศัพท์ เป็นประธาน
วิภัตติอาขยาต ต้องแจกให้ตรงกับ บุรุษ และ วจนะ ของประธาน ดังนี้
สำหรับปุริสสัพพนามที่เป็นประธาน จะละไว้ เขียนไว้แต่กิริยาอาขยาต (ที่บอกบุรุษและวจนะ) ก็ได้ เช่น
การใช้บุรุษและวจนะ แสดงความเคารพ
ถ้าผู้น้อยพูดกับผู้ใหญ่ แม้ผู้ใหญ่นั้นจะเป็นบุคคลๆ เดียว ก็ใช้วิภัตติอาขยาต มัชฌิมบุรุษ พหุวจนะได้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ เช่น ภิกษุกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
ประธาน มีหลายศัพท์ กล่าวรวมกัน ด้วย จ ศัพท์ ต้องประกอบกิริยาให้เป็นพหุวจนะเสมอ และประกอบบุรุษของกิริยาอาขยาต ตามบุรุษที่อยู่ในลำดับท้ายสุด เรียงตามลำดับดังนี้ 1) ปฐมบุรุษ 2) มัชฌิมบุรุษ 3) อุตตมบุรุษ เช่น

ปัจจัยแบ่งเป็น 5 หมวด ตามวาจก ดังนี้
การลงปัจจัยหลังธาตุ ตามวาจกทั้ง 5
กัตตุวาจก ลงปัจจัย 10 ตัว คือ อ เอ ย ณุ ณา นา ณฺหา โอ เณ ณย
กัมมวาจก ใช้สกัมมธาตุอย่างเดียว
1. ธาตุ 2 พยางค์ ลง ปัจจัย กับ อิ อาคม หน้า ย แล้วจึงลง เต วัตตมานา เช่น ลภิยเต, อิกฺขิยเต  
2. ธาตุพยางค์เดียว ลง ย ปัจจัย เท่านั้น เช่น สุยเต, สุยฺยเต, วุยเต, กียเต
ภาววาจก ใช้อกัมมธาตุอย่างเดียว
เหตุกัตตุวาจก ลงปัจจัย 4 ตัว คือ เณ ณย ณาเป ณาปย แล้วลบ ณ แห่งปัจจัยเหล่านี้เสีย (เหลือเป็น เอ, อย, อาเป, อาปย)
1.               ธาตุ 2 พยางค์ขึ้นไป สระต้นธาตุไม่มีตัวสะกด (สังโยค) ให้พฤทธิ์ (วุทธิ) เช่น  มาเรติ, มารยติ, มาราเปติ, มาราปยติ
2.               ธาตุ 2 พยางค์ขึ้นไป สระต้นธาตุมีตัวสะกด ไม่ต้องพฤทธิ์ เช่น อิกฺเขติ, อิกฺขยติ, อิกฺขาเปติ, อิกฺขาปยติ
3.               ธาตุพยางค์เดียว มี อิ อี เป็นที่สุด ให้แปลงเป็น เอ แล้วแปลง เอ เป็น อย เช่น สาเยติ, สายยติ, สายาเปติ, สายาปยติ
4.               ธาตุพยางค์เดียว มี อุ อู เป็นที่สุด ให้แปลงเป็น โอ แล้วแปลง โอ เป็น อว เช่น ภาเวติ, ภาวยติ, ภาวาเปติ, ภาวาปยติ
5.               เฉพาะหมวด ทิว สุ กี คห ธาตุ ให้ลงปัจจัยประจำหมวดธาตุเสียก่อน แล้วจึงลง เณ ณย ณาเป ณาปย เช่น ทิพฺเพติ ทิว-ย-เณ สิพฺเพติ สิว-ย-เณ
เหตุกัมมวาจก ลงปัจจัย 10 ตัวก่อน จึงลง ณาเป กับ ย ปัจจัย และ อิ อาคมหน้า ย มีรูปเป็น อาปิย ดังนี้
1.               ถ้าเป็นธาตุ 8 หมวด ลงปัจจัยประจำหมวดธาตุเสียก่อน แล้วลง อาปิย (ลบ เอ ที่ เป) เช่น  ทิพฺพาปิยติ ทิว-ย-ณาเป-อิ-ย-ติ กีนาปิยติ กี-นา-ณาเป-อิ-ย-ติ
2.               ถ้าเป็นธาตุนอกแบบ ลง อ ย ปัจจัยก่อน หรือไม่ลงก็ได้ เช่น  อุปฺปชฺชาปิยติ อุ-ปท-ย-ณาเป-อิ-ย-ติ วาทาปิยติ วท-อ-ณาเป-อิ-ย-ติ
การพฤทธิ์ (วุทธิ) เมื่อลงปัจจัยที่เนื่องด้วย ณ แล้ว ต้องพฤทธิ์ต้นธาตุ  โดยมีเงื่อนไขว่า สระต้นธาตุเป็นรัสสะล้วน ไม่มีพยัญชนะสังโยค (ตัวสะกด)ให้พฤทธิ์ได้   โดยมีวิธีพฤทธิ์ดังนี้
อาคม
* ถ้าไม่ลงอุปสัค แปลง ฐา เป็น ติฏฺฐ ได้ (เทฺวภาวะ)
ปัจจัยสำหรับประกอบกับธาตุ 3 ตัว คือ ข ฉ ส ถ้าลงหลังธาตุ ภุช ฆส หร สุ ปา แปลออกสำเนียงว่า “ปรารถนาเช่น
ถ้าลงหลังธาตุนอกนี้ แปลตามธรรมดา เช่น
ยังมีปัจจัยอีกพวกหนึ่ง ใช้ลงท้ายนามศัพท์ (มิได้ลงท้ายธาตุ) ให้เป็นกิริยาศัพท์ มี 2 ตัว คือ อาย อิย
ถ้าลงหลังคุณนาม แปลว่า ประพฤติ เช่น 
ถ้าลงหลังนามนาม แปลว่า ประพฤติเพียงดัง เป็นต้น เช่น 

วาจก แปลว่า ผู้บอก กล่าว แสดง (วจ ‘บอก กล่าว’)
วาจกมี 5 คือ
1.               กัตตุวาจก กิริยาศัพท์ที่แสดงว่า ผู้ทำ เป็นประธาน
2.               กัมมวาจก กิริยาศัพท์ที่แสดงว่า ผู้ถูกกระทำ เป็นประธาน
3.               เหตุกัตตุวาจก กิริยาศัพท์ที่แสดงว่า ผู้ใช้ให้ทำ เป็นประธาน
4.               เหตุกัมมวาจก
o    ในกิริยาสกัมมธาตุ หมายถึง กิริยาศัพท์ที่แสดงว่า สิ่งที่เขาใช้ให้บุคคลทำ หรือ ผู้ที่ถูกใช้ให้ทำ เป็นประธาน
o    ในกิริยาอกัมมธาตุ หมายถึง กิริยาศัพท์ที่แสดงว่า ผู้ที่ถูกใช้ให้ทำ เป็นประธาน
5.               ภาววาจก กิริยาศัพท์ที่บอกเพียงความมีความเป็น ไม่มีประธาน
ประธาน หมายถึง ศัพท์นามที่ถูกยกให้เป็นใหญ่ในประโยค ประกอบด้วยปฐมาวิภัตติ
1.               สยกัตตา (ปฐมา) หมายถึง ผู้ทำเอง เป็นประธาน (สยํ-กร)
2.               อนภิหิตกัตตา (ตติยา) หมายถึง ผู้ทำ ที่ไม่ได้ถูกกล่าวยกให้เป็นประธาน (น-อภิ-ธา ‘กล่าว’ แปลง ธ เป็น ห)
3.               เหตุกัตตา (ปฐมา) หมายถึง ผู้ใช้ให้ผู้อื่นทำ หรือ ผู้ทำ โดยใช้ให้ผู้อื่นทำ หรือ ผู้ทำ ที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นทำ  เป็นประธาน
กรรม หมายถึง ผู้ถูกกระทำ มีทั้งกรรมที่เป็นประธาน และกรรมที่ไม่ได้เป็นประธาน
1.               อวุตตกัมม (ทุติยา) หมายถึง ผู้ถูกกระทำ ที่ไม่ได้ถูกกล่าวยกให้เป็นประธาน
2.               วุตตกัมม (ปฐมา) (น-วจ ‘กล่าว’)
ในประโยคกัมมวาจก หมายถึง ผู้ถูกกระทำ ที่ถูกกล่าวยกให้เป็นประธาน
3. การิตกัมม (ปฐมา) หมายถึง ผู้ที่ถูกใช้ให้ทำ (เป็นตติยาวิภัตติบ้างก็ได้)
วาจกใดใช้ธาตุประเภทไหนได้
กัตตุวาจก เหตุกัตตุวาจก เหตุกัมมวาจก ใช้ได้ทั้ง สกัมมธาตุ และ อกัมมธาตุ
ธาตุประเภทไหนใช้เป็นวาจกอะไรบ้าง
* อีกนัยหนึ่ง วาจก หมายถึง กิริยาศัพท์ที่ประกอบด้วยปัจจัยซึ่ง กล่าวบทที่เป็นประธานของประโยค ว่าสัมพันธ์กับกิริยาอย่างไร เช่น

ปัจจัยอาขยาตนอกแบบ

แจก อส ธาตุ มี, เป็น”
1.               อตฺถิ นตฺถิ (น-อตฺถิ) บางมติถือว่าเป็นนิบาตก็มี เพราะใช้ได้ทั้งเอกวจนะและพหุวจนะ โดยไม่เปลี่ยนรูป
2.               กิริยาอาขยาต อสฺ ธาตุ เหล่านี้ ที่พยัญชนะต้นเป็นสระ นิยมสนธิกับศัพท์อื่นเสมอ เช่น อาคโตมฺหิ (อาคโต+อมฺหิ)
3.               ศัพท์ว่า สติ ที่ใช้ในประโยคแทรก (ลักขณะ) เป็นกิริยากิตก์ อส ธาตุ อนฺต ปัจจัย สัตตมีวิภัตติ แจกอย่างภควนฺตุ แปลว่า มีอยู่ (‘สติ’ ไม่มีในรูปที่เป็นกิริยาอาขยาต)
ตัวอย่าง
การแปลง อนฺติ เป็น เร
หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา
อหึสกา เย มุนโย    นิจฺจํ กาเยน สํวุตา
สมฺพหุลา น ชานนฺติ   สชฺชุกํ น จ คจฺฉเร.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น