นาม
(นามนาม)
มนุสฺโส มนุษย์, ติรจฺฉาโน สัตว์ดิรัจฉาน, นครํ เมือง เป็นต้น
ทีฆาวุ กุมารชื่อทีฆาวุ, เอราวโณ ช้างชื่อเอราวัณ, สาวตฺถี เมืองชื่อสาวัตถี เป็นต้น
เพราะเมื่อมีนามนามแล้ว คุณนามและสัพพนามจึงมีได้ เพราะฉะนั้น นามนามจึงสำคัญที่สุด
มนุสฺโส มนุษย์, ติรจฺฉาโน สัตว์ดิรัจฉาน, นครํ เมือง เป็นต้น
ทีฆาวุ กุมารชื่อทีฆาวุ, เอราวโณ ช้างชื่อเอราวัณ, สาวตฺถี เมืองชื่อสาวัตถี เป็นต้น
เพราะเมื่อมีนามนามแล้ว คุณนามและสัพพนามจึงมีได้ เพราะฉะนั้น นามนามจึงสำคัญที่สุด
- ศัพท์เดียว มีรูปอย่างเดียว เป็นได้ 2 ลิงค์ เช่น อกฺขโร อกฺขรํ อักขระ, มโน มนํ ใจ เป็นต้น
- นามนามมีมูลศัพท์อย่างเดียว เปลี่ยนสระที่สุดศัพท์เป็นเครื่องหมายให้ต่างลิงค์กัน (โดยลง อา อี อินี ปัจจัย เครื่องหมายอิตถีลิงค์) เช่น ราชา (ปุํ.), ราชินี (อิตฺ), อุปาสโก (ปุํ.), อุปาสิกา (อิตฺ.) เป็นต้น
อิตฺถี หญิง กำเนิดเป็นอิตถีลิงค์ จัดให้เป็นอิตถีลิงค์
จิตฺตํ จิต กำเนิดเป็นนปุํสกลิงค์ จัดให้เป็นนปุํสกลิงค์
ทาโร เมีย กำเนิดเป็นอิตถีลิงค์ สมมุติให้เป็นปุํลิงค์
ปเทโส ประเทศ กำเนิดเป็นนปุํสกลิงค์ สมมุติให้เป็นปุํลิงค์
ภูมิ แผ่นดิน กำเนิดเป็นนปุํสกลิงค์ สมมุติให้เป็นอิตถีลิงค์ เป็นต้น
เอกวจนะ
|
พหุวจนะ
|
||
ปฐมา
|
ที่
1
|
สิ
|
โย
|
ทุติยา
|
ที่
2
|
อํ
|
โย
|
ตติยา
|
ที่
3
|
นา
|
หิ
|
จตุตฺถี
|
ที่
4
|
ส
|
นํ
|
ปญฺจมี
|
ที่
5
|
สฺมา
|
หิ
|
ฉฏฺฐี
|
ที่
6
|
ส
|
นํ
|
สตฺตมี
|
ที่
7
|
สฺมึ
|
สุ
|
(อาลปนะ
|
สิ
|
โย)
|
วิภัตติฝ่ายเอกวจนะ
|
วิภัตติฝ่ายพหุวจนะ
|
|
ปฐมา
|
อ.
(อ่านว่า อันว่า)
|
อ.
- ท. (อ่านว่า อันว่า....ทั้งหลาย)
|
ทุติยา
|
ซึ่ง, สู่,
ยัง, สิ้น, ตลอด,
กะ, เฉพาะ.
|
ซึ่ง-ท., ..... เฉพาะ-ท.
|
ตติยา
|
ด้วย, โดย,
อัน, ตาม, เพราะ,
มี, ด้วยทั้ง.
|
ด้วย-ท., ..... ด้วยทั้ง-ท.
|
จตุตฺถี
|
แก่, เพื่อ,
ต่อ.
|
แก่-ท., ...... ต่อ-ท.
|
ปญฺจมี
|
แต่, จาก,
กว่า, เหตุ.
|
แต่-ท., ...... เหตุ-ท.
|
ฉฏฺฐี
|
แห่ง, ของ,
เมื่อ.
|
แห่ง-ท., ...... เมื่อ-ท.
|
สตฺตมี
|
ใน, ใกล้,
ที่, ครั้นเมื่อ, ในเพราะ
เหนือ, บน, ณ
|
ใน-ท., ...... บน-ท.,ณ-ท.
|
อาลปนะ
|
แน่ะ, ดูก่อน,
ข้าแต่.
|
แน่ะ-ท.,.... ข้าแต่-ท.
|
มหาปญฺโญ อานนฺโท อ.พระอานนท์ ผู้มีปัญญามาก
เป็นประธานในประโยคที่มีกิริยาคุมพากย์ เรียกว่า สยกตฺตา เช่น
อานนฺโท ธมฺมํ เทเสติ อ.พระอานนท์ ย่อมแสดง ซึ่งธรรม
โดยพิสดารมี 13 คือ
ปุงลิงค์
|
มีการันต์
5
คือ
|
อ
|
อิ
|
อี
|
อุ
|
อู
|
อิตถีลิงค์
|
มีการันต์
5
คือ
|
อา
|
อิ
|
อี
|
อุ
|
อู
|
นปุงสกลิงค์
|
มีการันต์
3
คือ
|
อ
|
อิ
|
อุ
|
บางศัพท์เป็นลิงค์เดียว เช่น อตฺต พฺรหฺม บางศัพท์เป็น 2 ลิงค์ คือเป็นปุํลิงค์และอิตถีลิงค์บ้าง เป็นปุํลิงค์และ นปุํสกลิงค์บ้าง
เช่น ราช ศัพท์ เป็น ปุํลิงค์ มีวิธีแจกเฉพาะตัว คือแจกไม่เหมือนกับ อ การันต์ ใน ปุํลิงค์ทั่วไป ส่วนในอิตถีลิงค์ มีรูปเป็น ราชินี แจกตามแบบ อี การันต์ ในอิตถีลิงค์
1.
|
อตฺต
|
ตน
|
ปุํ.
|
เอกวจนะอย่างเดียว
|
2.
|
พฺรหฺม
|
พรหม
|
ปุํ.
|
2 วจนะ
|
3.
|
ราช
|
พระราชา
|
ปุํ.
อิต.
|
2 วจนะ
|
4.
|
ภควนฺตุ
|
พระผู้มีพระภาค
|
ปุํ.
|
2 วจนะ
|
5.
|
อรหนฺต
|
พระอรหันต์
|
ปุํ.
อิต.
|
2 วจนะ
|
6.
|
ภวนฺต
|
ผู้เจริญ
|
ปุํ.
อิต.
|
2 วจนะ
|
7.
|
สตฺถุ
|
พระศาสดา
|
ปุํ.
|
2 วจนะ
|
8.
|
ปิตุ
|
บิดา
|
ปุํ.
|
2 วจนะ
|
9.
|
มาตุ
|
มารดา
|
อิตฺ.
|
2 วจนะ
|
10.
|
มน
|
ใจ
|
ปุํ.
นปุํ.
|
2 วจนะ
|
11.
|
กมฺม
|
กรรม
|
นปุํ.
|
2 วจนะ
|
12.
|
โค
|
วัว
|
ไม่บ่งลิงค์
|
2 วจนะ
|
มาตาปิตา จ อตฺรชํ นิจฺจํ รกฺขนฺติ ปุตฺตกํ.
ก็ อ.มารดาและบิดา ท. ย่อมรักษา ซึ่งบุตรน้อย ผู้เกิดในตน เป็นนิตย์
ส สก เป็นคุณนาม เป็นได้ 3 ลิงค์ 2 วจนะ
ปุํลิงค์ เป็น ส สก แจกตามแบบ ปุริส
อิตถีลิงค์ เป็น สา สกา แจกตามแบบ กญฺญฺา
นปุํสกลิงค์ เป็น ส สก แจกตามแบบ กุล เช่น
พาโล เสหิ กมฺเมหิ ตปฺปติ. อ. คนพาล ย่อมเดือดร้อน ด้วยกรรม ท. ของตน
มนุสฺสา สกานิ ฐานานิ คจฺฉนฺติ. อ. มนุษย์ ท. ย่อมไป สู่ที่ ท. ของตน
2. แม้มีศัพท์อื่นนำหน้า ก็คงแจกอย่าง พฺรหฺม เช่น มหาพฺรหฺม
ใน ปุํลิงค์ แจกเหมือน ภควนฺตุ เช่น คุณวา
ใน อิตถีลิงค์แปลง อุ ที่ ตุ เป็น อี แจกตามแบบ อี การันต์ อิตถีลิงค์ เช่น คุณวนฺตี
ใน นปุํสกลิงค์ แจกเหมือน ภควนฺตุ ต่างกันเฉพาะ ป.เอก. คุณวํ คุณวนฺตํ, ป.ทุ.อา. พหุ. คุณวนฺตานิ อา.เอก. คุณว
มนฺตุ ปัจจัย ใช้ประกอบกับศัพท์ที่เป็น อิ อุ การันต์ เช่น สติมนฺตุ (สติมา)
อิมนฺตุ ปัจจัย ใช้ประกอบกับศัพท์ได้ทั่วไป
ภควนฺตา ภควนฺเต เป็นทวิวจนะ ใช้กล่าวถึงคน 2 คน
ภควนฺโต เป็นพหุวจนะสำหรับกล่าวถึงคนมาก ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
อายสฺมา สารีปุตฺโต อ.พระสารีบุตร ผู้มีอายุ
และเป็นทั้งนามนาม คือใช้เป็นคำแทนชื่อ ดุจ ตุมฺห ศัพท์ เช่น
อายสฺมา อ.ท่านผู้มีอายุ ตรงกับคำไทยว่า “ท่าน”
ใน อิต. ลง อี ปัจจัย เป็น อรหนฺตี แจกตามแบบ นารี
และถ้าเป็นศัพท์นามนาม เช่น กมฺมนฺต จะนำมาแจกตามแบบนี้ไม่ได้เลย
ใน อิต. ลง อี ปัจจัย เป็น ภวนฺตี แจกตามแบบ นารี
แจกเหมือน ภวนฺต ก็ได้ เช่น กรํ กระทำอยู่
2.1 ครูสอนลัทธิอื่นนอกจากพระพุทธศาสนา (พาหิรคณาจารย์ เช่น ครูทั้ง 6 มีปูรณกัสสปะเป็นต้น - ปูรณกสฺสปาทโย ฉ สตฺถาโร)
2.2 พระพุทธเจ้าในอดีต เพราะต้องการเรียกหลายพระองค์รวมกัน โดยมี อตีเต หรือ ปุพฺเพ ซึ่งเป็นศัพท์บอกอดีตกาล กำกับอยู่
2.1 ใช้สำหรับ บิดา มารดา เรียกบุตร เช่น
พฺราหฺมโณ ปุตฺตํ อาห ‘ตาต, ตฺวํ คจฺฉาติ.
อ.พราหมณ์ กล่าวแล้ว กะบุตร ว่า ‘ดูก่อนพ่อ อ.เจ้า จงไป’ ดังนี้.
2.2 ใช้สำหรับ บุตร ธิดา เรียกบิดา เช่น
อุปฺปลวณฺณา ปิตรํ อาห ‘ตาต, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’ติ.
อ.นางอุบลวรรณา กล่าวแล้ว กะบิดา ว่า ‘ข้าแต่พ่อ, อ.ฉัน จักบวช’ ดังนี้.
2.3 ใช้เรียกผู้ชายที่ คุ้นเคย นับถือกัน เช่น
มหาปาโล กนิฏฺฐํ อาห ‘ตาต, ตฺวํ ตํ ธนํ ปฏิปชฺชาหี’ติ.
อ.มหาปาละ กล่าวแล้ว กะน้องชาย ว่า ‘ดูก่อนพ่อ, อ.เจ้า จงปฏิบัติ ซึ่งทรัพย์ นั้น’ ดังนี้.
อาจริโย สิสฺเส อาห ‘ตาตา, ตุมฺเห อิมํ เอฬกํ นทึ เนถา’ติ.
อ.อาจารย์ กล่าวแล้ว กะศิษย์ ท. ว่า ‘ดูก่อนพ่อ ท. อ.เจ้า ท. จงนำไป ซึ่งแกะ นี้ สู่แม่น้ำ ดังนี้.
ภาตุ ใช้ ภาติก แทนได้ และแจกอย่าง อ การันต์ ปุํลิงค์ (ปุริส)
เอกวจนะใช้ อมฺม พหุวจนะใช้ อมฺมา มีวิธีใช้ดังนี้
1.1 ใช้สำหรับ บิดา มารดา เรียกธิดา
1.2 ใช้สำหรับ บุตร ธิดา เรียกมารดา
1.3 ใช้เรียกหญิงที่คุ้นเคย นับถือกัน
เทวมาเต ดูก่อนแม่เทวะ, เทวธีเต ดูก่อนแม่เทพธิดา
แม้ศัพท์ที่คล้ายคลึงกัน ก็เอาสระที่สุดของตนเป็น อิ ได้ เช่น ภาติโต
มาตาปิตโร อ. มารดาและบิดา ท. (เปรียบเทียบ: ชายปติกา อ.เมียและผัว ท.
ภคินีภาตโร อ.พี่น้องหญิงและพี่น้องชาย ท. สสฺสุสสุรา อ.แม่ผัว และพ่อผัว ท.,
ทาสีทาสา อ.ทาสีและทาส ท. ปุตฺตธีตโร อ.บุตรและธิดา ท.)
เอก.
|
พหุ.
|
|
ป.
|
มโน
|
มนา
|
ทุ.
|
มนํ
(มโน)
|
มเน
|
ต.
|
มนสา
|
มเนหิ
มเนภิ
|
จ.
|
มนโส
|
มนานํ
|
ปญฺ.
|
มนสา
|
มเนหิ
มเนภิ
|
ฉ.
|
มนโส
|
มนานํ
|
ส.
|
มนสิ
|
มเนสุ
|
อา.
|
มน
|
มนา
|
อย เหล็ก ตม ความมืด ยส ยศ
อุร อก เตช เดช วจ วาจา
เจต ใจ ปย น้ำนม สิร หัว
เฉพาะ มน ศัพท์ เป็น ปุํ. นปุํ. นอกนั้นเป็น ปุํ. อย่างเดียว
(ชโน) อทาเน กุรุเต มโน อ.ชน ย่อมทำ ซึ่งใจ ในการไม่ให้
(ชโน) ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย อ.ชน ได้แล้ว ซึ่งยศ ไม่พึงเมา
มน - คณ มโนคณ หมู่แห่งมนศัพท์
อย - มย อโยมย (ของที่บุคคล) ทำด้วยเหล็ก
เตช - ธาตุ เตโชธาตุ ธาตุคือไฟ
อห + รตฺติ = อโหรตฺติ วันและคืน
เอา นา วิภัตติ เป็น โส บ้าง เช่น
สุตฺตโส โดยสูตร พฺยญฺชนโส โดยพยัญชนะ ถามโส โดยเรี่ยวแรง
อุปายโส โดยอุบาย ฐานโส โดยฐานะ
เอา สฺมา วิภัตติ เป็น โส บ้าง เช่น
ทีฆโส จากส่วนยาว อุรโส จากอก
จ. กมฺมุโน
ปญฺ. กมฺมุนา
ฉ. กมฺมุโน
ส. กมฺมนิ
ถ้าเป็น อิตถีลิงค์ เปลี่ยนเป็น คาวี แจกตามแบบ อี การันต์ อิตถีลิงค์
- ปุม [ชาย] เป็น ปุํลิงค์ มีที่ใช้แต่ ปฐมา. เอก. ปุมา
- สา [หมา] ไม่จัดเข้าเป็นลิงค์ใด มีที่ใช้แต่ ปฐมา. เอก. สา
- ใน ปุํลิงค์ มีรูปเป็น สุนข แจกอย่าง ปุริส
- ใน อิตถีลิงค์ มีรูปเป็น สุนขี แจกอย่าง นารี
- อทฺธา [กาลยืดยาว] เป็น ปุํลิงค์ มีที่ใช้แต่ เอกวจนะ ป. อทฺธา ทุ. อทฺธานํ ต. อทฺธุนา จ. ฉ. อทฺธุโน ส. อทฺธาเน
- มฆว [ชื่อพระอินทร์] เป็น ปุํลิงค์ มีที่ใช้แต่ ปฐมา. เอก. มฆวา
- ยุว [ชายหนุ่ม] เป็น 2 ลิงค์ ใน ปุํลิงค์ มีที่ใช้แต่ ปฐมา. เอก. ยุวา ใน อิตถีลิงค์ มีรูปเป็น ยุวตี แจกอย่าง นารี
- สข [เพื่อน] เป็น 2 ลิงค์ ใน ปุํลิงค์ มีที่ใช้แต่ ปฐมา. เอก. สขา ใน อิตถีลิงค์ มีรูปเป็น สขี แจกอย่าง นารี
ข้อมูลในหน้านี้รอรับการปรับปรุง เพิ่มเติม
นาม หมายถึง
ชื่อ
ศัพท์ หมายถึง
เสียง หรือ ตัวหนังสือ (ที่มีความหมาย ชัดเจนเป็นที่เข้าใจ)
นามศัพท์ หมายถึง
เสียง หรือ ตัวหนังสือ ที่บ่งถึงชื่อ แบ่งเป็น 3 คือ
1.
นามนาม
2.
คุณนาม
3.
สัพพนาม
1. นามนาม หมายถึง
นามที่เป็นชื่อของคน, สัตว์, ที่,
สิ่งของ แบ่งออกเป็น 2
คือ
1.
สาธารณนาม หมายถึง
นามที่ทั่วไปแก่คน,
สัตว์, สถานที่ เช่น
2.
อสาธารณนาม หมายถึง
นามที่ไม่ทั่วไปแก่สิ่งอื่น เช่น
2. คุณนาม หมายถึง
นามที่แสดงลักษณะของนามนาม สำหรับหมายให้รู้ว่า นามนามนั้น ดีหรือชั่ว เป็นต้น แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ
1.
ชั้นปกติ
2.
ชั้นวิเสส
3.
ชั้นอติวิเสส
3. สัพพนาม หมายถึง
นามที่ใช้แทนนามนามที่ออกชื่อมาแล้ว เพื่อไม่ให้ซ้ำซาก ซึ่งไม่เพราะหู แบ่งเป็น 2 คือ
1.
ปุริสสัพพนาม
2.
วิเสสนสัพพนาม
นามศัพท์ 3 อย่างนี้ นามนามเป็นประธาน
คุณนามและสัพพนามเป็นบริวาร
นามศัพท์ (คือ นามนาม
คุณนาม และสัพพนาม) มีส่วนประกอบสำคัญ 3 อย่าง คือ
1.
ลิงค์
2.
วจนะ
3.
วิภัตติ
ลิงค์
ลิงค์ แปลว่า เพศ
คือคำพูดที่บ่งเพศของนามนาม
ลิงค์แบ่งเป็น 3
คือ
1.
ปุํลิงค์ เพศชาย
2.
อิตถีลิงค์ เพศหญิง
3.
นปุํสกลิงค์ ไม่ใช่เพศชาย
ไม่ใช่เพศหญิง
ลิงค์ของนามนาม
1.
เป็นลิงค์เดียว คือศัพท์เดียว เป็นได้ลิงค์เดียว เช่น ปุริโส บุรุษ
เป็นปุํลิงค์ได้อย่างเดียว, อิตฺถี
หญิง เป็นอิตถีลิงค์ได้อย่างเดียว,
กุลํ ตระกูล เป็นนปุํสกลิงค์ได้อย่างเดียว เป็นต้น
2.
เป็น 2 ลิงค์ (ทวิลิงค์)
ลิงค์ของคุณนามและสัพพนาม
คุณนามและสัพพนามเป็นได้ทั้ง
3 ลิงค์ (แล้วแต่นามนามที่เป็นประธาน)
ลิงค์แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
1.
จัดตามกำเนิด คือ
จัดลิงค์ให้ตรงตามกำเนิดเดิมของนามนั้น เช่น
2.
จัดตามสมมุติ คือ จัดลิงค์ตามสมมุติของภาษา ไม่ตรงตามกำเนิดเดิมของนามนามนั้น เช่น
วจนะ
วจนะ คือ
คำพูดบอกจำนวน (ให้ทราบว่าน้อยหรือมาก) แบ่งเป็น
2 คือ
1.
เอกวจนะ คำพูดสำหรับออกชื่อของสิ่งเดียว
เช่น ปุริโส ชายคนเดียว
2.
พหุวจนะ คำพูดสำหรับออกชื่อของมากกว่าสิ่งเดียว
คือตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไป เช่น ปุริสา ชายหลายคน
วิภัตติ
วิภัตติ คือสิ่งที่ใช้แจกศัพท์ให้มีรูปต่างๆ เพื่อให้มีเนื้อความเชื่อมต่อกับคำอื่นๆ
ในประโยค
วิภัตตินั้นมี 14
ตัว แบ่งเป็น เอกวจนะ 7 พหุวจนะ 7
ดังนี้
นามศัพท์
เมื่อประกอบวิภัตติแล้ว ก็มีความหมายต่อเนื่องกับคำอื่นได้
อายตนิบาต มีดังนี้
ปฐมาวิภัตติ
และอาลปนวิภัตติ ไม่มีสำเนียงอายตนิบาต แต่ใช้คำว่า
‘อันว่า’ และ ‘แน่ะ ดูก่อน ข้าแต่’ แทน ตามลำดับ เพื่อเป็นเครื่องสังเกตวิภัตติ
ปฐมาวิภัตติ
แบ่งเป็น 2 คือ
1.
เป็นประธาน
2.
เป็นอาลปนะ คำสำหรับร้องเรียก อาลปนวิภัตติ ไม่มีวิภัตติเป็นของตนเอง แต่ยืมปฐมาวิภัตติมาใช้
การันต์
การันต์ คือ
สระที่สุดแห่งศัพท์
โดยย่อมี 6
คือ อ อา
อิ อี อุ
อู
วิธีแจกนามนาม (ด้วยวิภัตติ)
วิภัตตินั้น
แจกตามการันต์และลิงค์ (วิภัตติ วจนะ) ศัพท์ที่การันต์และลิงค์เหมือนกัน
ให้แจกเป็นแบบเดียวกัน
กติปยศัพท์
กติปยศัพท์ หมายถึง
ศัพท์จำนวนเล็กน้อย มีวิธีแจกเป็นของตนเองโดยเฉพาะ
ไม่มีวิธีแจกทั่วไปเหมือนกับศัพท์เหล่าอื่น
(ดู แบบแจกกติปยศัพท์)
กติปยศัพท์ มี 12
ศัพท์ คือ
อตฺต [ตน - self]
เป็นปุํลิงค์ เอกวจนะ อย่างเดียว
1.
ถ้าใช้บ่งถึงจำนวนมาก นิยมเรียงไว้คู่กัน 2 บท และแปลสองหนว่า ตนๆ เช่น
2.
อตฺต ศัพท์อยู่หน้า ช นิยมแปลง ต เป็น ร เช่น
3.
ใช้ สํ สยํ แทน อตฺต
ศัพท์ได้บ้าง โดยแปลง สํ สยํ เป็น ส สก แปลว่า ของตน
พฺรหฺม [พรหม]
เป็นปุํลิงค์ (โดยกำเนิดท่านว่าเป็นชายทั้งสิ้น จึงเป็นปุํลิงค์อย่างเดียว)
1. บางศัพท์
แปลง สฺมึ วิภัตติเป็น นิ ได้ เช่น
จมฺมนิ ในหนัง, มุทฺธนิ บนยอด
เป็นต้น
ราช [พระราชา
- king] เป็นทวิลิงค์
ใน ปุํ. แจกตามแบบของตน ใน อิต. ลง อินี ปัจจัย เป็น ราชินี แจกตามแบบ
นารี
1.
ราช ศัพท์ เมื่อเข้าสมาสกับศัพท์อื่น แจกอย่าง อ การันต์ ปุํ. ต่างกันเฉพาะ
ป.เอก. มหาราชา พหุ. มหาราชาโน อา.พหุ. มหาราชาโน
2.
ราช ศัพท์ แม้เข้าสมาสแล้ว จะแจกอย่าง ราช
ศัพท์ ตามเดิมก็ได้
(หมายเฉพาะ ราช ศัพท์ ที่เข้าสมาสเป็น วิเสสนบุพบท และวิเสสนุตตรบท กัมมธารยสมาส
เท่านั้น)
ภควนฺตุ [พระผู้มีพระภาค]
เป็น ปุํลิงค์
1.
ศัพท์ที่ลงท้ายด้วย วนฺตุ มนฺตุ อิมนฺตุ
ปัจจัย
สำเร็จเป็นคุณนาม เป็นได้ 3 ลิงค์ แจกตามแบบ
ภควนฺตุ คือ
2.
วนฺตุ ปัจจัย ใช้ประกอบกับศัพท์ที่เป็น
อ การันต์ เช่น คุณวนฺตุ (คุณวา)
3.
ภควนฺตุ ศัพท์ มาจากศัพท์นามนามคือ ภค (ภาค, ส่วน)
ลง วนฺตุ ปัจจัย (ในตทัสสัตถิตัทธิต)
สำเร็จเป็น ภควนฺตุ แปลว่า ผู้มีภาค
เป็นคุณนาม แต่ใช้เป็นนามนาม เป็นปุํลิงค์อย่างเดียว แปลว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า หมายถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น
จะนำไปใช้เป็นคุณนามของศัพท์อื่นไม่ได้
4.
ภควนฺตุ ศัพท์ เป็นได้ 3
วจนะ
5.
เฉพาะ อายสฺมนฺตุ เป็นได้ทั้งคุณนาม เช่น
อรหนฺต [พระอรหันต์
- arahanta, saint] เป็น ทวิลิงค์
ใน ปุํ. แจกเหมือน ภควนฺตุ แปลกแต่ ป.เอก. เป็น
อรหา อรหํ เท่านั้น
ศัพท์ที่มี อนฺต
เป็นที่สุด ซึ่งเป็นศัพท์คุณนาม เช่น มหนฺต
จะนำมาแจกแบบนี้ก็ได้ แต่ไม่ทั่วทุกวิภัตติ
ภวนฺต [ผู้เจริญ]
เป็น ทวิลิงค์
ใน ปุํ. แจกตามแบบของตน
ศัพท์ที่มี อนฺต
เป็นที่สุด จะแจกเหมือน อ การันต์ ปุํ. นปุํ. ก็ได้
เช่น กโรนฺโต กระทำอยู่
สตฺถุ [พระศาสดา
- teacher] เป็น ปุํลิงค์
1.
ถ้าเป็นเอกวจนะ หมายถึง พระพุทธเจ้าเท่านั้น แปลว่า พระศาสดา
2.
ถ้าเป็นพหุวจนะ หมายถึง
3.
ศัพท์นามกิตก์ ที่ประกอบด้วย ตุ ปัจจัย
แจกเหมือน สตฺถุ
(ยกเว้น ปิตุ มาตุ เป็นต้น) เช่น กตฺตุ (กตฺตา), วตฺตุ (วตฺตา)
ปิตุ [บิดา
- father] เป็นปุํลิงค์
1.
ศัพท์นี้แจกเหมือน สตฺถุ แปลกแต่แปลงเป็น อร แทน อาร ในวิภัตติทั้งปวง
2.
อาลปนะนั้น เมื่อแจกตามแบบเป็นอย่างนี้ แต่ในเวลาพูดหรือเขียน ไม่ใช้ ใช้ ตาต
แทน เอกวจนะใช้ ตาต พหุวจนะใช้ ตาตา มีวิธีใช้ดังนี้
3.
ตาต ศัพท์ ที่เป็นอาลปนะ
ใช้เรียกได้ทั้งบิดาทั้งบุตร ถ้าเป็นวิภัตติอื่น
เป็นชื่อของบิดาอย่างเดียว
4.
ภาตุ พี่ชายน้องชาย ชามาตุ ลูกเขย 2 ศัพท์นี้ แจกอย่าง ปิตุ
มาตุ [มารดา
- mother] เป็นอิตถีลิงค์
1.
อาลปนะนั้น เมื่อแจกตามแบบเป็นอย่างนี้ แต่ในเวลาพูดหรือเขียน ไม่ใช้ ให้ใช้
อมฺม แทน
2.
ธีตุ ธิดา แจกเหมือน มาตุ
3.
ในตัปปุริสสมาส ใช้อาลปนะเป็น
มาเต ธีเต เช่น ติสฺสมาเต ดูก่อนแม่ติสสะ,
ปิตุ มาตุ ศัพท์
1.
ปิตุ มาตุ ถ้ามี โต ปัจจัยต่อท้าย
แปลง อุ เป็น อิ เช่น
ปิติโต ข้างบิดา มาติโต ข้างมารดา
2.
ถ้าต้องการจะเรียกรวมทั้งบิดามารดา ใช้ว่า อมฺมตาตา ดูก่อนแม่และพ่อ ท.
3.
ในภาษาบาลี เมื่อนำ 2 ศัพท์นี้มาต่อกัน
ให้เรียงมารดาไว้หน้าบิดา เช่น
มน [ใจ - mind]
เป็นทวิลิงค์
เป็น อ การันต์
แจกเหมือน ปุริส หรือ กุล ต่างกันเฉพาะ
5 วิภัตติ คือ ต. จ. ปญฺ. ฉ. ส.
เอก. เท่านั้น คือ
นา และ สฺมา เป็น อา, ส ทั้งสองเป็น โอ,
สฺมึ เป็น อิ แล้วลง ส อาคม
เป็น สา, เป็น โส, เป็น สิ.
แจก มน ศัพท์
ปุํลิงค์ อ การันต์
ในนปุํสกลิงค์ แจกเหมือนในปุํลิงค์
ต่างกันเฉพาะ ป. เอก. มนํ
ป. ทุ. อา. พหุ. มนานิ
มน ศัพท์ แจกได้ทั้ง
เอก. และ พหุ. แต่ มน ศัพท์ที่แปลว่า ใจ นี้
ยังไม่พบที่ใช้เป็น พหุ.
1.
ศัพท์พวก มน ซึ่งแจกวิภัตติอย่าง
มน เรียกว่า มโนคณะ ศัพท์ มีทั้งหมด 12 ศัพท์ คือ
2.
เอา อํ ทุติยา เป็น โอ ได้บ้าง เช่น
3.
เมื่อเข้าสมาส เอา อ
การันต์เป็น โอ ได้ เช่น
4.
ศัพท์อื่น แม้มิใช่เป็น มโนคณะศัพท์ เข้าสมาสแล้ว เอา อ การันต์เป็น โอ ได้
เช่น
5.
ศัพท์อื่น แม้มิใช่เป็น มโนคณะศัพท์ ถ้าเป็น อ การันต์ ก็แปลงเช่นนี้ได้บ้าง
กมฺม [กรรม
- kamma, karma] เป็นนปุํสกลิงค์ แจกอย่าง อ การันต์ นปุํสกลิงค์
เฉพาะ ต. จ. ปญฺ. ฉ. ส. เอก. แจกอย่างนี้ก็ได้
ต.
กมฺมุนา
โค [วัว - cow]
ไม่บ่งลิงค์
โค ศัพท์
ใช้ไม่เจาะจงว่า โคผู้ หรือ โคเมีย
หมายถึงโคทั่วๆ ไป
ถ้าเป็น ปุํลิงค์
เปลี่ยนเป็น โคณ แจกตามแบบ อ
การันต์ ปุํลิงค์
ศัพท์พิเศษ 6 ศัพท์ มีที่ใช้บางวิภัตติ ไม่ครบทั้ง 7
วิภัตติ คือ
นาม
(คุณนาม)
คุณนาม หมายถึง นามที่แสดงลักษณะของนามนาม เช่น สูง ต่ำ
ดำ ขาว เป็นต้น แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ
1.
ชั้นปกติ แสดงลักษณะของนามนาม
อย่างปกติ เช่น
อุจฺโจ สูง, นีโจ ต่ำ, กณฺโห ดำ, โอทาโต ขาว, กุสโล ฉลาด, พาโล โง่ เป็นต้นอติมหนฺโต ใหญ่กว่า, อุจฺจตโร สูงกว่า, ปาปิโย เป็นบาปกว่า
อติวิย มหนฺโต ใหญ่ที่สุด, ปาปิฏฺโฐ เป็นบาปที่สุด, อุจฺจตโม สูงที่สุด
สุนฺทรา กถา อ.ถ้อยคำ ดี
สุนฺทรํ กุลํ อ.ตระกูล ดี
มหนฺเต รุกฺเข ซึ่งต้นไม้ ท. ใหญ่
ตัวอย่างเช่น ทส ทิวสา วัน 10 วัน นับจำนวนวันทุกวัน รวมเป็น 10 วัน
ตัวอย่างเช่น ทสมํ ทิวสํ วันที่ 10 กล่าวถึงวันสุดท้ายวันเดียวเท่านั้น คือวันที่ 10 มิได้กล่าวถึงวันทั้ง 10 วัน (ดังนั้น ปูรณสังขยาจึงเป็นเอกวจนะเสมอ)
ส่วนวจนะ เช่นพหุวจนะนั้น บอกเพียงจำนวนของนามนามว่ามีตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ไม่อาจบอกจำนวนให้ละเอียดแน่นอนลงไปได้ แม้แต่เอกวจนะที่บอกจำนวนของสิ่งเดียว บางครั้งก็หมายเอาของหลายสิ่ง เช่น ปตฺตจีวรํ อ.บาตรและจีวร
ที่เป็นสัพพนาม เป็นได้ทั้ง 2 วจนะ เป็นได้ 3 ลิงค์ แจกแบบ ย ศัพท์
ต่างจาก ย ศัพท์ เฉพาะในอิตถีลิงค์ เอกวจนะ จ. ฉ. เอกิสฺสา, ส. เอกิสฺสํ เท่านั้น
ที่เป็นพหุวจนะให้แปลว่า บางเหล่า บางพวก, เหล่าหนึ่ง พวกหนึ่ง เช่น เอเก (อาจริยา) อ.อาจารย์ ท. บางพวก
เอโก ทารโก ปูวํ ขาทติ. อ.เด็กคนหนี่ง ย่อมกิน ซึ่งขนม
ปุริสสฺส เอโก โคโณ อโหสิ, อิตฺถิยา เอโก.
อ.วัว ตัวหนึ่ง ได้มีแล้ว แก่บุรุษ, อ.วัว ตัวหนึ่ง ได้มีแล้ว แก่หญิง.
ทฺวาทส, พารส, ทฺวาวีสติ, พาวีสติ, ทฺวตฺตึส, พตฺตึส
เทฺวจตฺตาฬีส, ทฺวาสฏฺฐี, เทฺวนวุติ
เมื่อเข้ากับนามนาม คง ทฺวิ ไว้บ้าง เช่น ทฺวิปาทา สัตว์ 2 เท้า
แปลงเป็น ทุ บ้าง เช่น ทุปฏํ วตฺถํ สงฺฆาฏิ ผ้าสังฆาฏิ 2 ชั้น
หรือสิ่งที่รู้กัน ทั่วไปว่าอยู่คู่กัน เช่น อุโภ ชายปติกา เมียและผัวทั้งสอง อาจารย์กับศิษย์ ทั้งสอง เป็นต้น
นอกนั้นคงไว้ตามเดิม เช่น จตุปาริสุทธิสีลํ เป็นต้น
2.
ชั้นวิเสส แสดงลักษณะของนามนาม
ยิ่งหรือหย่อนกว่าปกติ โดยใช้ อติ
นำหน้า หรือใช้ ตร อิย อิยิสฺสก ต่อท้ายคุณนามชั้นปกติ
เช่น
3.
ชั้นอติวิเสส แสดงลักษณะของนามนาม
ถึงขั้นที่สุด โดยใช้ อติวิย
นำหน้า หรือใช้ ตม อิฏฺฐ ต่อท้ายคุณนามชั้นปกติ
เช่น
วิธีใช้คุณนาม
คุณนาม
เวลาใช้ต้องให้เรียงไว้หน้านามนามที่มันขยาย ให้มี ลิงค์ วจนะ วิภัตติ ตรงกัน และแปลไม่ออกสำเนียงอายตนิบาต
เช่น
สุนฺทโร ธมฺโม อ.ธรรม ดี
สังขยา
(สังขยา คือ
การนับจำนวน จัดเป็นคุณนาม เพราะบอกปริมาณหรือลำดับ ของนามนามหรือสัพพนาม)
สังขยา แปลว่า การนับ หมายถึง
ศัพท์ที่เป็นเครื่องนับนามนาม แบ่งเป็น 2
คือ
1.
ปกติสังขยา
คือ นับนามนามโดยปกติ เพื่อให้รู้ว่านามนามนั้นมีประมาณเท่าใด เช่น เอก 1, ทฺวิ 2,
ติ 3, จตุ 4 เป็นต้น
2.
ปูรณสังขยา
คือ นับนามนามที่เต็มในที่นั้นๆ เจาะจงนับเอาแต่หน่วยเดียว
สังขยากับวจนะต่างกัน
สังขยานับนามนามให้รู้ว่ามีเท่าใด
โดยแจ้งชัด เช่น
ปญฺจ ชนา อ.ชน
ท. ห้า เป็นต้น
การใช้ เอก ศัพท์
ที่เป็นปกติสังขยา เป็นเอกวจนะอย่างเดียว เป็นได้ 3 ลิงค์ แจกตามแบบของตน
เอกสังขยากับเอกสัพพนามต่างกัน
เอกสังขยาเป็นเอกวจนะอย่างเดียว เอกสัพพนามเป็นได้ทั้ง 2
วจนะ
1.
เอกสังขยา ต้องมีบทนามนามที่เป็นเจ้าของตามหลัง
เช่น
2.
เอกสัพพนาม ไม่ต้องมีบทนามนามที่เป็นเจ้าของตามหลังก็ได้
เพราะใช้แทนนามนามที่ออกชื่อมาแล้วข้างต้น เช่น
การใช้ ทฺวิ ศัพท์
ทฺวิ ศัพท์ นี้ แจกเป็นแบบเดียวกันทั้ง 3 ลิงค์
1.
เมื่ออยู่หน้า ทส, วีสติ, ตึส แปลงเป็น ทฺว และ พา เช่น
2.
เมื่ออยู่หน้าสังขยาตั้งแต่
จตฺตาฬีส ถึง นวุติ แปลงเป็น
เทฺว และ ทฺวา เช่น
3.
เมื่อเข้ากับสังขยานาม คง ทฺวิ
ไว้ตามเดิม
4.
แปลงเป็น
ทิ บ้าง เช่น
ทิโช สัตว์เกิด 2 หน
(นก, พราหมณ์)
แต่จะถือเอาแน่นอนตายตัวไม่ได้ เพราะท่านจัดการเปลี่ยนแปลง โดยถือเอาความสละสลวยแห่งภาษามากกว่าอย่างอื่น
ต้องศึกษาและสังเกตเอาเอง
การใช้ อุภ ศัพท์
อุภ แปลว่า ทั้งสอง ใช้นับจำนวนนามนามอย่างเดียว
จะใช้เข้ากับสังขยานามนาม เหมือน ทฺวิ ศัพท์ เช่น
ทฺวิสหสฺสํ ไม่ได้
อุภ ศัพท์ ใช้กับสิ่งที่มีอยู่เป็นคู่
ๆ ตามธรรมชาติ เช่น
อุโภ อกฺขี ตาทั้งสอง มือทั้งสอง
เป็นต้น
การใช้ ติ ศัพท์
1.
เมื่อเข้ากับสังขยาจำนวนสิบ
แปลงเป็น เต เช่น เตรส, เตวีสติ
2.
เมื่อเข้ากับสังขยานามนาม
คง ติ ไว้ เช่น
ติสตํ, ติสหสฺสํ
3.
เมื่อเข้ากับนามนาม
คงเป็น ติ หรือแปลงเป็น เต
เช่น ติโยชนํ 3 โยชน์, เตวิชฺโช ผู้มีวิชชา
3
การใช้ จตุ ศัพท์
เมื่อเป็นเศษของสังขยาอื่น แปลงเป็น
จุ เช่น
จุทฺทส
การใช้ ปญฺจ อฏฺฐ ศัพท์
ตั้งแต่ ปญฺจ ถึง อฏฺฐ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงอะไร
การใช้ นว ศัพท์
1.
นว
ศัพท์ ที่เป็นสังขยาคุณนาม แปลว่า 9
เช่น นว ภิกฺขู อ. ภิกษุ ท. 9
2.
นว
ศัพท์ ที่เป็นคุณนาม แปลว่า ใหม่ มักลง ก ต่อท้าย เช่น นวก + โอวาท =
นวโกวาท แปลว่า โอวาทเพื่อภิกษุใหม่
จัดสังขยาตาม นามศัพท์ ลิงค์ วจนะ และการแจกวิภัตติ
ปกติสังขยา
1. จัดปกติสังขยาลงในนามทั้ง
3
|
||
ตั้งแต่ เอก ถึง จตุ
|
(1-4)
|
เป็นสัพพนาม
|
ตั้งแต่ ปญฺจ ถึง อฏฺฐนวุติ
|
(5-98)
|
เป็นคุณนาม
|
ตั้งแต่ เอกูนสตํ ขึ้นไป
|
(99...)
|
เป็นนามนาม
|
*จัดเป็นคุณนามทั้งหมดก็ได้
เพราะประกอบเข้ากับนามนามได้เหมือนกัน
|
||
2. จัดปกติสังขยาลงในลิงค์ทั้ง
3
|
||
ตั้งแต่ เอก ถึง อฏฺฐารส
|
(1-18)
|
เป็นได้ 3 ลิงค์
|
ตั้งแต่ เอกูนวีสติ ถึง อฏฺฐนวุติ
|
(19-98)
|
เป็นอิตถีลิงค์
|
ตั้งแต่ เอกูนสตํ ขึ้นไป
|
(99...)
|
เป็นนปุํสกลิงค์
|
เฉพาะ โกฏิ
(10,000,000) เป็นอิตถีลิงค์
|
||
3. จัดปกติสังขยาลงในวจนะทั้ง
2
|
||
เอกสังขยา
|
(1)
|
เป็นเอกวจนะอย่างเดียว
|
เอกสัพพนาม
|
(1)
|
เป็นได้ 2 วจนะ
|
ตั้งแต่ ทฺวิ ถึง อฏฺฐารส
|
(2-18)
|
เป็นพหุวจนะอย่างเดียว
|
ตั้งแต่ เอกูนวีสติ ถึง อฏฺฐนวุติ
|
(19-98)
|
เป็นเอกวจนะอย่างเดียว
|
ตั้งแต่ เอกูนสตํ ขึ้นไป
|
(99...)
|
เป็นได้ 2 วจนะ
|
ปูรณสังขยา
ปูรณสังขยาทั้งปวง เป็นคุณนาม เป็นได้ 3 ลิงค์
เป็นเอกวจนะอย่างเดียว
|
ปุริสสัพพนาม แบ่งเป็น 3 บุรุษ คือ
- ปฐมบุรุษ คือ คำที่ใช้แทนนามนามที่กล่าวถึงมาแล้ว หรือแทนบุคคล หรือแทนสิ่ง ที่ถูกพูดถึง ได้แก่ ต ศัพท์ แปลว่า เขา, มัน เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ความเหมาะสมในภาษาไทย เป็นได้ 3 ลิงค์
- มัธยมบุรุษ คือ คำที่ใช้แทนผู้ฟัง หรือผู้พูดด้วย ได้แก่ ตุมฺห ศัพท์ แปลว่า ท่าน, คุณ, เธอ, เจ้า, เอ็ง, มึง เป็นต้น ตามสมควร เป็นได้ 2 ลิงค์ คือ ปุ ํลิงค์ และ อิตถีลิงค์
- อุตตมบุรุษ คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้พูด ได้แก่ อมฺห ศัพท์ แปลว่า ฉัน, กระผม, ข้าพเจ้า, เรา, กู เป็นต้น ตามสมควร เป็นได้ 2 ลิงค์ คือ ปุ ํลิงค์ และ อิตถีลิงค์
2.1 อนิยมวิเสสนสัพพนาม คือสัพพนามที่ใช้ประกอบกับนามนาม ไม่ระบุแน่ชัดว่า เป็นใคร หรือสิ่งใด มี 13 ศัพท์ คือ
1. ย ใด 7. กตร คนไหน, อย่างไหน
2. อญฺญํ อื่น 8. กตม คนไหน, อย่างไหน
3. อญฺญตร คนใดคนหนึ่ง 9. เอก คนหนึ่ง, พวกหนึ่ง
4. อญฺญตม คนใดคนหนึ่ง 10. เอกจฺจ บางคน, บางพวก
5. ปร อื่น 11. สพฺพ ทั้งปวง
6. อปร อื่นอีก 12. อุภย ทั้งสอง
13. กึ อะไร
2.2 นิยมวิเสสนสัพพนาม คือสัพพนามที่ใช้ประกอบกับนามนาม ระบุแน่ชัดว่าเป็น คนนั้นคนนี้ หรือสิ่งนั้นสิ่งนี้ มี 4 ศัพท์ คือ
1. ต นั้น 2. เอต นั่น, นี่ 3. อิม นี้ 4. อมุ โน้น
ต ศัพท์ที่เป็นปุริสสัพพนาม ใช้แทนนามนามที่กล่าวมาแล้ว โดยไม่ยกนามนามนั้นมากล่าวซ้ำอีก เช่น
อ.เด็ก ย่อมขึ้น สู่ต้นไม้, อ.เขา ย่อมตก จากต้นไม้ นั้น.
อุปาสิกา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ยาคุภตฺตํ อทาสิ, สา สทฺธาย ปุญฺญํ กโรติ.
อ.อุบาสิกา ได้ถวายแล้ว ซึ่งข้าวต้มและข้าวสวย แก่หมู่แห่งภิกษุ, อ.นาง ย่อมกระทำ ซึ่งบุญ ด้วยศรัทธา.
มธุ เคเห อโหสิ, มาตา ตํ อาหริ.
อ.น้ำผึ้ง ได้มีแล้ว ในบ้าน, อ.มารดา นำมาแล้ว ซึ่งมัน. (น้ำผึ้ง นั้น)
อ.เด็ก ย่อมขึ้น สู่ต้นไม้, อ.เด็ก นั้น ย่อมตก จากต้นไม้ นั้น.
อุปาสิกา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ยาคุภตฺตํ อทาสิ, สา อุปาสิกา สทฺธาย ปุญฺญฺํ กโรติ.
อ.อุบาสิกา ได้ถวายแล้ว ซึ่งข้าวต้มและข้าวสวย แก่หมู่แห่งภิกษุ, อ.อุบาสิกา นั้น ย่อมกระทำ ซึ่งบุญ ด้วยศรัทธา.
มธุ เคเห อโหสิ, มาตา ตํ มธุํ อาหริ.
อ.น้ำผึ้ง ได้มีแล้ว ในบ้าน, อ.มารดา นำมาแล้ว ซึ่งน้ำผึ้ง นั้น.
อ.กระผม นั้น ย่อมกระทำ ซึ่งคำ ของอาจารย์.
เต มยํ อาจริยสฺส วจนํ กโรม.
อ.กระผม ท. นั้น ย่อมกระทำ ซึ่งคำ ของอาจารย์.
อ.อุปัชฌาย์ ของท่าน ชื่ออะไร ?
อุปชฺฌาโย เม ภนฺเต โหหิ.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ.ท่าน จงเป็น อุปัชฌาย์ ของกระผม.
อหํ ธมฺมํ โว เทเสสฺสามิ.
อ.ข้าพเจ้า จักแสดง ซึ่งธรรม แก่ท่าน ท.
พุทฺโธ โน โลเก อุปฺปชฺชิ.
อ.พระพุทธเจ้า ของเรา ท. เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในโลก.
โก คามํ อาคจฺฉติ ? อ.ใคร ย่อมมา สู่บ้าน
กึ เต หตฺเถ โหติ ? อ.อะไร ย่อมมี ในมือ ของท่าน ?
กสฺส สุนโข อาวาเส รวติ ? อ.สุนัข ของใคร ย่อมร้อง ในวัด ?
โก สามเณโร ปตฺเต โธวติ ? อ.สามเณร รูปไหน ย่อมล้าง ซึ่งบาตร ท. ?
กา ทาริกา อุยฺยานํ คจฺฉติ ? อ.เด็กหญิง ไร ย่อมไป สู่สวน ?
กึ ผลํ ปิฏเก โหติ ? อ.ผลไม้ อะไร ย่อมมี ในกระจาด ?
กึ ปเนตํ อาวุโส ปฏิรูปํ ? ดูก่อนอาวุโส ก็ อันนั่น สมควร หรือ ?
บางทีประโยคคำถามนั้นไม่มี กึ แต่ใช้วิธีเรียงกิริยาไว้ต้นประโยคก็มี เช่น
อตฺถิ ปนายสฺมโต โกจิ เวยฺยาวจฺจกโร ? ก็ ใครๆ เป็นไวยาวัจกร ของท่านผู้มีอายุ มีอยู่ หรือ ?
กึ ปาลิต ปมชฺชสิ ? ดูก่อนปาลิตะ อ.ท่าน ประมาทอยู่ ทำไม ?
โกจิ อ.ใครๆ
โกจิ ชโน อ.ชน ไรๆ
กาจิ อิตฺถิโย อ.หญิงไรๆ
กิญฺจิ ธนํ อ.ทรัพย์ อะไรๆ
อีกอย่างหนึ่ง แปลว่า น้อย บาง เช่น
กิญฺจิ ธนํ อ.ทรัพย์ น้อยหนึ่ง โกจิ ปุริโส อ.บุรุษ บางคน
เมื่อเป็นพหุวจนะ แปลว่า บางพวก บางเหล่า เช่น
เกจิ ชนา อ.ชน ท. บางพวก กาจิ อิตฺถิโย อ.หญิง ท. บางเหล่า กานิจิ ภาชนานิ อ.ภาชนะ ท. บางพวก
วิธีแจก กึ ศัพท์ ที่มี จิ ต่อท้าย
ให้นำ จิ ไปต่อท้ายศัพท์ที่แจกแล้วตามวิภัตตินั้นๆ เช่น โกจิ เกจิ กาจิ กานิจิ
ถ้าวิภัตติใด ลงท้ายด้วยนิคคหิต ( ํ ) ให้แปลงนิคคหิตเป็น ญฺ เช่น
กํ + จิ = กิญฺจิ กึ + จิ = กิญฺจิ กสฺมึ + จิ = กสฺมิญฺจิ
เมื่อมี ย นำหน้า และมี จิ ต่อท้าย กึ ศัพท์ ให้แปลว่า คนใดคนหนึ่ง, สิ่งใดสิ่งหนึ่ง, อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น โยโกจิ ยากาจิ ยงฺกิญฺจิ
เป็นได้ 3 ลิงค์ แจกตามแบบ ย ศัพท์ อมุก และ อสุก ใช้มากกว่า อมุ
อมุกา สกุณี รวติ. อ.นางนก โน้น ย่อมร้อง.
อมุกํ กุลํ นคเร ติฏฺฐติ. อ.ตระกูล โน้น ย่อมตั้งอยู่ ในเมือง.
อสุโก ภิกฺขุ คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ. อ.ภิกษุ โน้น เข้าไปแล้ว สู่บ้าน เพื่อบิณฑะ.
นาม
(สัพพนาม)
สัพพนาม
สัพพนาม หมายถึง
นามที่ใช้แทนนามนามที่ออกชื่อมาแล้ว เพื่อไม่ให้ซ้ำซาก แบ่งเป็น 2 คือ
1.
ปุริสสัพพนาม
2.
วิเสสนสัพพนาม
(ดู แบบแจกสัพพนาม)
1.
ปุริสสัพพนาม คือ คำที่ใช้แทนนามนามที่กล่าวถึงมาแล้ว คำที่ใช้แทนตัวผู้พูด
และ คำที่ใช้แทนตัวผู้ฟัง เช่น เขา,
ท่าน, ฉัน เป็นต้น
2.
วิเสสนสัพพนาม คือ สัพพนามที่ใช้ประกอบกับนามนาม เพื่อให้เด่นชัดขึ้น เช่น
กำหนดแน่นอน หรือไม่แน่นอน ใกล้หรือไกล
มีลักษณะและวิธีใช้เหมือนคุณนาม เป็นได้
3 ลิงค์
ต ศัพท์ ที่เป็นปุริสสัพพนาม แปลว่า เขา
มัน ท่าน นาง เป็นต้น
ทารโก
รุกฺขํ อภิรุหติ, โส ตมฺหา ปตติ.
ต ศัพท์ ปุริสสัพพนามนี้ สำหรับผู้เริ่มศึกษา ที่จะต้องแปลบาลีโดยพยัญชนะก่อนนั้น
ให้แปลยกนามนามที่สัพพนามนั้นใช้แทนขึ้นมาด้วย โดยแปล
ต ศัพท์ว่า "นั้น" เหมือนวิเสสนสัพพนาม แต่เมื่อนำไปแปลโดยอรรถ ก็ให้แปลเป็น ปุริสสัพพนามเลยทีเดียว
ต ศัพท์ที่เป็นวิเสสนสัพพนาม แปลว่า "นั้น" ใช้ประกอบกับนามนาม โดยวางไว้หน้านามนามนั้น ให้มีลิงค์ วจนะ วิภัตติ
เหมือนนามนามนั้น เช่น
ทารโก
รุกฺขํ อภิรุหติ, โส ทารโก ตมฺหา
ปตติ.
ต ศัพท์ที่เป็นวิเสสนสัพพนาม ใช้ประกอบกับปุริสสัพพนาม คือ ตุมฺห และ อมฺห
ศัพท์ได้โดยวาง ต ศัพท์ ไว้ข้างหน้า แล้วทำให้มี ลิงค์ วจนะ วิภัตติ เหมือน ตุมฺห
และ อมฺห ศัพท์ นั้น เช่น
โส
อหํ อาจริยสฺส วจนํ กโรมิ.
ตุมฺห และ อมฺห ศัพท์ เป็นได้ทั้ง 2 ลิงค์ และแจกเหมือนกันทั้ง 2 ลิงค์
เต เม โว โน เวลาใช้ในประโยค
ต้องมีคำอื่นนำหน้าเสมอ เช่น
โก
นาม เต อุปชฺฌาโย
?
อนิยมวิเสสนสัพพนาม ทั้ง 13 ศัพท์ แจกตามแบบ ย ศัพท์
กึ ศัพท์ (ใคร, อะไร) ปุํลิงค์ แปลง
กึ เป็น ก แล้วแจกอย่าง ย ศัพท์
การใช้ กึ ศัพท์
กึ ศัพท์ที่ใช้เป็นคำถาม
1.
ใช้อย่างปุริสสัพพนาม
คือ ใช้ลำพังตัวเอง ไม่ต้องประกอบกับนามนาม แปลว่า ใคร อะไร เช่น
2.
ใช้เป็นวิเสสนสัพพนามแท้
คือ ใช้ประกอบกับนามนาม แปลว่า อะไร ไร ไหน
เช่น
3.
ใช้
กึ ศัพท์เป็นนิบาต เป็นคำถาม แปลว่า หรือ เช่น
4.
ใช้
กึ ศัพท์ เป็นนิบาต เป็นคำถามถึงเหตุที่เป็น แปลว่า ทำไม เช่น
กึ ศัพท์ที่มี จิ ต่อท้าย
ไม่ใช้เป็นคำถาม
1.
กึ
ศัพท์ ตามปกติแปลว่า ใคร อะไร แต่ถ้ามี จิ ต่อท้าย ให้แปลซ้ำสองหนว่า ใครๆ ไรๆ อะไรๆ เช่น
2.
กึ
ศัพท์ที่มี ย นำหน้า และมี จิ ต่อท้าย
อมุ ศัพท์ แปลงเป็น อสุ ได้บ้าง
และนิยมลง ก ท้าย อมุ และ อสุ เป็น
อมุก และ อสุก
อมุโก
สกุโณ รวติ. อ.นก โน้น ย่อมร้อง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น