วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สนธิ

สนธิ
1. สระทั้งสอง มีรูปไม่เสมอกัน ลบสระหลัง  เช่น 
    จตฺตาโร–อิเม เป็น จตฺตาโรเม
    กินฺนุ–อิมา เป็น กินฺนุมา
2. นิคคหิตอยู่หน้า ลบสระหลัง  เช่น 
    อภินนฺทุํ–อิติ เป็น อภินนฺทุนฺติ
(เฉพาะ อิ ถ้ามีพยัญชนะซ้อนกัน 3 ตัว ให้ลบพยัญชนะที่มีรูปเสมอกันได้ตัวหนึ่ง  เช่น 
ปฏิสนฺฐารวุตฺติ–อสฺส เป็น  ปฏิสนฺฐารวุตฺยสฺสอคฺคิ–อาคารํ เป็น อคฺยาคารํ)
    เต–อสฺส เป็น ตฺยสฺส
    เม–อยํ เป็น มฺยายํ
    เต–อหํ เป็น ตฺยาหํ
เอา โอ เป็น วฺ  เช่น 
    อถโข–อสฺส เป็น อถขฺวสฺส
เอา อุ เป็น วฺ  เช่น 
    พหุ–อาพาโธ เป็น พหฺวาพาโธ
    จกฺขุ–อาปาถํ เป็น จกฺขฺวาปาถํ
โส–สีลวา  เป็น  ส สีลวา,
โส ปญฺญวา  เป็น  ส ปญฺญวา
เอโส ธมฺโม  เป็น  เอส ธมฺโม
ปร–สหสฺสํ เป็น ปโรสหสฺสํ
สรท–สตํ เป็น สรโทสตํ
มุนิ–อาลโย เป็น มุเนลโยสุอตฺถี เป็น โสตฺถี
ลบสระหน้าแล้ว  วิการ อิ เป็น  เอวิการ อุ เป็น โอ  เช่น 
มาลุต–อิริตํ  เป็น มาลุเตริตํ,
พนฺธุสฺส-อิว เป็น พนฺธุสฺเสว,
น–อุเปติ เป็น โนเปติ,
อุทกํ อุมิกชาตํ เป็น  อุทโกมิกชาตํ
โก–อิมํ คงเป็น โกอิมํ
ลบสระหลัง แล้วทีฆะสระหน้า  เช่น 
กึสุ–อิธ เป็น กึสูธ
สาธุ–อิติ เป็น สาธูติ,  
พยัญชนะอยู่หลัง ทีฆะสระหน้า  เช่น 
มุนิ–จเร เป็น มุนีจเร
ลบสระหน้า แล้วทีฆะสระหลัง  เช่น 
สทฺธา–อิธ เป็น สทฺธีธ
จ–อุภยํ เป็น จูภยํ
    พยัญชนะ หรือ  เอ แห่ง เอว ศัพท์ อยู่หลัง   รัสสะสระหน้า  เช่น 
        โภวาที–นาม เป็น โภวาทินาม,  
        ยถา–เอว เป็น ยถริว
ปติ–อุตฺตริตฺวา เป็น ปจฺจุตฺตริตฺวา
แปลง ช เป็น    ย ได้บ้าง    เช่น   นิชํ เป็น นิยํ
แปลง ต เป็น    ก ได้บ้าง    เช่น  นิยโต เป็น นิยโก
แปลง ต เป็น    จ ได้บ้าง    เช่น  ภโต เป็น ภจฺโจ
แปลง ต เป็น    ฏ ได้บ้าง    เช่น  ทุกฺกตํ เป็น ทุกฺกฏํ
แปลง ต เป็น    ธ ได้บ้าง    เช่น  คนฺตพฺพํ เป็น คนฺธพฺพํ
แปลง ตฺต เป็น  ตฺร ได้บ้าง    เช่น  อตฺตโช เป็น อตฺรโช
แปลง ท เป็น    ต ได้บ้าง    เช่น  สุคโท เป็น สุคโต
แปลง ธ เป็น    ท ได้บ้าง    เช่น  เอกํ–อิธ–อหํ เป็น เอกมิทาหํ  (เอก อยู่หน้า)
แปลง ธ เป็น    ห ได้บ้าง    เช่น  สาธุ–ทสฺสนํ เป็น สาหุทสฺสนํ
แปลง ป เป็น    ผ ได้บ้าง    เช่น  นิปฺปตฺติ เป็น นิปฺผตฺติ
แปลง ย เป็น    ก ได้บ้าง    เช่น  สยํ เป็น สกํ
แปลง ย เป็น    ช ได้บ้าง    เช่น  คฺวโย เป็น  คฺวโช
แปลง ร เป็น    ล ได้บ้าง    เช่น  มหาสาโร เป็น มหาสาโล
แปลง ว เป็น    พ ได้บ้าง    เช่น  กุวโต เป็น กุพฺพโต
แปลงอุปสัคให้เป็นรูปต่างๆได้อีก  เช่น
แปลง อภิ เป็น อพฺภ  เช่น  อภิ–อุคฺคจฺฉติ เป็น อพฺภุคฺคจฺฉติ
แปลง อธิ เป็น อชฺฌ  เช่น  อธิ–โอกาโส เป็น อชฺโฌกาโสอธิ–อคมา เป็น อชฺฌคมา
แปลง อว เป็น โอ  เช่น  อว–นทฺธา เป็น โอนทฺธา
ว อาคม    เช่น    อุ–ทิกฺขติ        เป็น วุทิกฺขติ
ม อาคม    เช่น    ครุ–เอสฺสติ      เป็น ครุเมสฺสติ
ท อาคม    เช่น    อตฺต–อตฺโถ     เป็น อตฺตทตฺโถ
น อาคม    เช่น    อิโต–อายติ     เป็น อิโตนายติ
ต อาคม    เช่น    ตสฺมา–อิห      เป็น ตสฺมาติห
ร อาคม    เช่น    สพฺภิ–เอว       เป็น สพฺภิเรว
ฬ อาคม    เช่น    ฉ–อายตนํ      เป็น ฉฬายตนํ
เอาพยัญชนะที่ 1 ซ้อนหน้าพยัญชนะที่ 2 ได้ และ เอาพยัญชนะที่ 3 ซ้อนหน้าพยัญชนะที่ 4 ได้ 
เช่น  จตฺตาริ–ฐานานิ เป็น จตฺตาริฏฺฐานานิเอโสว–จ–ฌานผโล เป็น เอโสวจชฺฌานผโล
ตาสํ–อหํ เป็น ตาสาหํ,
วิทูนํ–อคฺคํ เป็น วิทูนคฺคํ
อริยสจฺจานํ–ทสฺสนํ เป็น อริยสจฺจานทสฺสนํ
พุทฺธานํ–สาสนํ เป็น พุทฺธานสาสนํ
แปลงนิคคหิต เป็น ญ    เช่น  ธมฺมํ-จเร    เป็น    ธมฺมญฺจเร
แปลงนิคคหิต เป็น ณ    เช่น  สํ-ฐิติ    เป็น    สณฺฐิติ
แปลงนิคคหิต เป็น น    เช่น  ตํ-นิพฺพุตํ    เป็น    ตนฺนิพฺพุตํ
แปลงนิคคหิต เป็น ม    เช่น  จิรํ-ปวาสึ    เป็น    จิรมฺปวาสึ
ตํ-เอว เป็น ตญฺเญว
เอวํ-หิ เป็น เอวญฺหิ
ตํ-หิ เป็น ตญฺหิ
สระอยู่หลัง แปลงนิคคหิตเป็น ม และ ท  เช่น  ตํ–อหํ เป็น ตมหํ, เอตํ–อโวจ เป็น เอตทโวจ
อว–สิโร เป็น อวํสิโร
วิธีต่อศัพท์และอักขระให้เนื่องกันด้วยอักขระ เพื่อจะย่ออักขระให้น้อยลง เป็นอุปการะในการแต่งฉันท์ และทำคำพูดให้สละสลวย  เรียกว่า สนธิ
การต่อมี 2 อย่าง คือ
1.               ต่อศัพท์ที่มีวิภัตติให้เนื่องด้วยศัพท์ที่มีวิภัตติ  เช่น   จตฺตาโร–อิเม  ต่อเป็น จตฺตาโรเม
2.               ต่อบทสมาสย่ออักขระให้น้อยลง  เช่น  กต–อุปกาโร  ต่อเป็น  กโตปกาโร
การต่ออักขระด้วยอักขระนั้น จัดเป็น ตามความที่เป็นประธาน  คือ
1.               สรสนธิ    ต่อสระ
2.               พยัญชนสนธิ    ต่อพยัญชนะ
3.               นิคคหิตสนธิ    ต่อนิคคหิต
สนธิกิริโยปกรณ์ คือ วิธีเป็นอุปการะแก่การทำสนธิ   มี 8 อย่าง ได้แก่ 
1.               โลโป  ลบ
2.               อาเทโส  แปลง
3.               อาคโม  ลงตัวอักษรใหม่
4.               วิกาโร  ทำให้ผิดจากของเดิม
5.               ปกติ  ปกติ
6.               ทีโฆ  ทำให้ยาว
7.               รสฺสํ  ทำให้สั้น
8.               สญฺโญโค  ซ้อนตัว

1. สรสนธิ
สรสนธิใช้กิริโยปกรณ์ 7 อย่าง คือ เว้นสัญโญโค  เพราะไม่มีวิธีเกี่ยวแก่พยัญชนะ
1.1 โลปสรสนธิ
มี 2 อย่าง คือ ลบสระหน้า และลบสระหลัง  
สระที่สุดของศัพท์หน้า เรียกว่า  สระหน้า 
สระหน้าของศัพท์หลัง เรียก สระเบื้องปลาย หรือ สระหลัง
มีกฎว่า เมื่อสระทั้ง 2 นี้ไม่มีพยัญชนะอื่นคั่นในระหว่าง ให้ลบได้ตัวหนึ่ง   ถ้ามีพยัญชนะคั่น ลบไม่ได้
วิธีลบสระหน้า
1. สระหน้าเป็นรัสสะ   สระหลังเป็นทีฆะหรือมีพยัญชนะสังโยค  ลบสระหน้าอย่างเดียว  เช่น
ยสฺส–อินฺทฺริยานิ สนธิเป็น ยสฺสินฺทฺริยานิ
โนหิ–เอตํ สนธิเป็น โนเหตํ,
สเมตุ–อายสฺมา สนธิเป็น สเมตายสฺมา
2. สระทั้งสองเป็นรัสสะ มีรูปเสมอกัน* ลบสระหน้าแล้วทีฆะสระหลัง   เช่น 
ตตฺร–อยํ เป็น ตตฺรายํ
(* คือเป็น    หรือ  อิ  หรือ อุ ทั้งสองตัว)
3. สระทั้งสองเป็นรัสสะ มีรูปไม่เสมอกัน ลบสระหน้าแล้วไม่ต้องทีฆะ  เช่น 
จตูหิ–อปาเยหิ เป็น จตูหปาเยหิ
4. สระหน้าเป็นทีฆะ สระหลังเป็นรัสสะ ลบสระหน้าแล้วทีฆะสระหลัง  เช่น 
สทฺธา–อิธ เป็น สทฺธีธ
วิธีลบสระหลัง
1.2 อาเทสสรสนธิ  มี 2 อย่าง  คือ  แปลงสระหน้า และ แปลงสระหลัง
วิธีแปลงสระหน้า
ถ้า อิ เออุ โอ  อยู่หน้า  มีสระอยู่หลัง  ให้แปลง  อิ เอ เป็น ยฺแปลง  อุ โอ เป็น วฺ
เอา เอ เป็น ยฺ  เช่น 
วิธีแปลงสระหลัง
สระอยู่หน้า   สระหลังเป็น เอ แห่ง เอว ศัพท์   แปลง เอ เป็น ริ  แล้วรัสสะสระหน้า  เช่น  ยถา–เอว เป็น ยถริวตถา–เอว เป็น ตถริว
1.3 อาคมสรสนธิ  มี 2 อย่าง  คือ
1.               โอ อยู่หน้า  พยัญชนะอยู่หลัง ให้ลบ โอ แล้วลง อ อาคม  เช่น
2.               อ อยู่หน้า  พยัญชนะอยู่หลัง  ลบ อ  แล้วลง โอ อาคม  เช่น
1.4 วิการสรสนธิ  มี 2 อย่าง  คือ
1.               วิการสระหน้า  ลบสระหลังแล้ว  วิการ อิ เป็น  เอวิการ อุ เป็น โอ  เช่น
2.               วิการสระหลัง
1.5 ปกติสรสนธิ
ปกติสรสนธินั้นไม่มีพิเศษอันใด คือ เมื่อสระเรียงกันอยู่ 2 ตัว ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  เช่น
1.6 ทีฆสรสนธิ   มี 2 อย่าง คือ ทีฆะสระหน้า และ ทีฆะสระหลัง
1.               ทีฆะสระหน้า
2.               ทีฆะสระหลัง
1.7 รัสสสรสนธิ

2. พยัญชนสนธิ
พยัญชนสนธิใช้สนธิกิริโยปกรณ์ 5 อย่าง คือ โลโป  อาเทโส  อาคโม  ปกติ  สญฺโญโค
2.1 โลปพยัญชนสนธิ
นิคคหิตอยู่หน้า สระอยู่หลัง ลบสระหลังแล้ว ถ้ามีพยัญชนะซ้อนกัน 2 ตัว ต้องลบเสียตัวหนึ่ง  เช่น  เอวํ–อสฺส เป็น เอวํสปุปฺผํ–อสฺสา เป็น ปุปฺผํสา
2.2 อาเทสพยัญชนสนธิ 
สระอยู่หลัง  แปลง ติ ที่ทำเป็น ตฺยฺ แล้ว  ให้เป็น จฺจฺ  เช่น 
อิติ-เอวํ เป็น อิจฺเจวํ,
แปลง ค เป็น    ก ได้บ้าง    เช่น  กุลุปโค เป็น กุลุปโก
2.3 อาคมพยัญชนสนธิ
สระอยู่หลัง  ลงพยัญชนะอาคม 8 ตัว คือ  ยฺ  วฺ  มฺ  ทฺ  นฺ  ตฺ  รฺ  ฬฺ*
ย อาคม    เช่น    ยถา–อิทํ        เป็น ยถายิทํ
ในสัททนีติปกรณ์ว่า ลง ห อาคม ก็ได้  เช่น  สุ–อุชุ เป็น สุหุชุสุ–อุฏฺฐิตํ เป็น สุหุฏฺฐิตํ
2.4 ปกติพยัญชนสนธิ
ปกติพยัญชนสนธิก็ไม่มีพิเศษอันใด คือคงรูปไว้ตามเดิม  เช่น สาธุ คงเป็น สาธุ ไม่เปลี่ยนเป็น สาหุ  หรืออย่างอื่น
2.5 สัญโญคพยัญชนสนธิ   มี 2 คือ  ซ้อนพยัญชนะที่มีรูปเหมือนกัน และ ซ้อนพยัญชนะที่มีรูปไม่เหมือนกัน
1.               ซ้อนพยัญชนะที่มีรูปเหมือนกัน  เช่น  อิธ–ปโมทติ เป็น อิธปฺปโมทติจาตุ–ทสี เป็น จาตุทฺทสี
2.               ซ้อนพยัญชนะที่มีรูปไม่เหมือนกัน  มีกฎเกณฑ์ดังนี้

3.    นิคคหิตสนธิ
นิคคหิตสนธิใช้สนธิกิริโยปกรณ์ 4 อย่าง คือ  โลโป  อาเทโส  อาคโม  ปกติ
3.1 โลปนิคคหิตสนธิ
นิคคหิตอยู่หน้า สระหรือพยัญชนะอยู่หลัง ลบนิคคหิต เช่น 
3.2 อาเทสนิคคหิตสนธิ
นิคคหิตอยู่หน้า พยัญชนะอยู่หลัง แปลงนิคคหิตเป็นพยัญชนะที่สุดวรรคของพยัญชนะตัวนั้น  เช่น
แปลงนิคคหิต เป็น ง    เช่น  เอวํ-โข    เป็น    เอวงฺโข
ถ้า เอ และ ห อยู่เบื้องหลัง แปลงนิคคหิต เป็น ญ  เช่น 
ปจฺจตฺตํ-เอว เป็น ปจฺจตฺตญฺเญว,
ถ้า ย อยู่เบื้องหลัง แปลงนิคคหิตกับ ย เป็น ญฺญ  เช่น  สํ-โยโค เป็น สญฺโญโค
ในสัททนีติปกรณ์ว่า
ล อยู่หลัง แปลงนิคคหิตเป็น ล  เช่น  ปุํ-ลิงฺคํ เป็น ปุลฺลิงฺคํสํ-ลกฺขณา เป็น สลฺลกฺขณา
3.2 อาคมนิคคหิตสนธิ
สระหรือพยัญชนะอยู่หลัง ลงนิคคหิตได้  เช่น 
จกฺขุ อุทปาทิ เป็น จกฺขุํ อุทปาทิ,
3.2 ปกตินิคคหิตสนธิ

ไม่มีพิเศษอันใด ควรจะลบหรือแปลงหรือลงนิคคหิตอาคมได้ ก็ไม่ทำอย่างนั้น คงไว้ตามรูปเดิม เช่น ธมฺมํ–จเร  ก็ไม่แปลงให้เป็น ธมฺมญฺจเร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น