วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

นามกิตก์

นามกิตก์
กิตปัจจัย
กิจจปัจจัย
กิตกิจจปัจจัย








นามกิตก์ จัดเป็น สาธนะ  และมีปัจจัยเป็นเครื่องบอกสาธนะ   ธาตุ             ปัจจัยนามกิตก์     วิภัตตินาม*      |                        |                    |   อรรถ                 สาธนะ          ลิงค์ วจนะ (อายตนิบาต)
ถ้าลง กิตปัจจัย (กฺวิ ณี ณฺวุ ตุ รู)
เป็น กัตตุสาธนะ อย่างเดียว
ลง กิจจปัจจัย (ข ณฺย)
เป็น กัมมสาธนะ และ ภาวสาธนะ
ลง กิตกิจจปัจจัย (อ อิ ณ ตเว ติ ตุํ ยุ)
เป็นได้ทั้ง 7 สาธนะ
1. กิตปัจจัย 5 :
กฺวิ ณี ณฺวุ ตุ รู
เป็นเครื่องหมาย กัตตุรูป
2. กิจจปัจจัย 2 :
ข ณฺย
เป็นเครื่องหมาย กัมมรูป และ ภาวรูป
3. กิตกิจจปัจจัย 7 :
อ อิ ณ ตเว ติ ตุํ ยุ
เป็นเครื่องหมาย กัตตุรูป กัมมรูป และ ภาวรูป
1.
กัตตุสาธนะ
เป็นชื่อของผู้ทำ
เช่น  ทายโก (ชโน)
ผู้ให้
2.
กัมมสาธนะ
เป็นชื่อของผู้ถูกทำ
เช่น  ทานํ (วตฺถุ)
วัตถุที่ให้
3.
ภาวสาธนะ
บอกกิริยาอาการ
เช่น  ทานํ
การให้
4.
กรณสาธนะ
เป็นชื่อของเครื่องทำ
เช่น  ทานา (เจตนา)
เครื่องให้
5.
สัมปทานสาธนะ
เป็นชื่อของผู้รับมอบ
เช่น  สมฺปทาโน (ปุคฺคโล)
ผู้รับมอบ
6.
อปาทานสาธนะ
เป็นชื่อของที่ที่จากไป
เช่น  ปภโว (ปพฺพโต)
ที่เกิดก่อน
7.
อธิกรณสาธนะ
เป็นชื่อของสถานที่ เวลา ที่ทำ
เช่น  ทานา (สาลา)
สถานที่ให้
นามกิตก์อีก 6 สาธนะที่เหลือ เป็นคุณนามใช้เป็นบทวิเสสนะของนามนามอื่น  (บทนามนามอื่น เรียกว่า อัญญบท) (* ถ้าใช้เป็นนามนาม ก็แปลออกสำเนียงอายตนิบาตได้เช่นกัน)วิคฺคห (วิคฺรห)= วิเคราะห์ แปลว่า แยก   สงฺคห (สมฺคฺรห) = สงเคราะห์ หรือ สังเคราะห์ แปลว่า รวม]แล้วนำมาประกอบเป็นกิริยาอาขยาต กิริยากิตก์ ตามวาจกต่างๆ  หรือเป็นนามกิตก์เช่นเดิมบ้าง         เทติ   อิติ  ทายโก    (ชโน)            |              |          |      รูปวิเคราะห์    สาธนะ   อัญญบทสาธนะ คือ ทายโก  สำเร็จมาจากรูปวิเคราะห์ คือ เทติ อิติทายโก มาจาก ทา ธาตุ ในความให้  ย ปัจจัย  ณฺวุ ปัจจัยนามกิตก์  นำมาประกอบเป็นกิริยาอาขยาตในรูปวิเคราะห์ คือ เทติชโน เป็นประธานของสาธนะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อัญญบท      ทายโก  ชโน  อ.ชน  ผู้ให้,    ทายกสฺส  ชนสฺส  แก่ชน  ผู้ให้ดังนั้น ชโน และ ชนสฺส จึงเป็นอัญญบท   กิริยาในรูปวิเคราะห์ คือ เทติ เป็นกัตตุวาจก  ดังนั้นรูปวิเคราะห์นี้จึงเป็นกัตตุรูป     เทตีติ  ทายโก (ชโน)    : ..........ตีติ ......... (.........)     โย  ชโน  เทติ  อิติ  โส  ชโน  ทายโก     อ.ชน ใด  ย่อมให้  เหตุนั้น  อ.ชน นั้น  ชื่อว่า ผู้ให้     ผู้ทำ (ชน) กิริยา “ให้” ในรูปวิเคราะห์   เป็นประธานของสาธนะ 2) กัตตุรูป กัตตุสาธนะ ตัสสีละแปลว่า “ผู้...โดยปกติ     ธมฺมํ  วทติ  สีเลนาติ  ธมฺมวาที (ชโน)    : ..........ติ สีเลนาติ ......... (.........)     โย  ชโน  สีเลน  ธมฺมํ  วทติ  อิติ  โส  ชโน  ธมฺมวาที     อ.ชน ใด  ย่อมกล่าว  ซึ่งธรรม  โดยปกติ  เหตุนั้น  อ.ชน นั้น  ชื่อว่า ผู้กล่าวซึ่งธรรมโดยปกติ     ผู้ทำ (ชน) กิริยา “กล่าว” ในรูปวิเคราะห์   เป็นประธานของสาธนะ     ในรูปวิเคราะห์เพิ่ม สีล ศัพท์ (ปกติ) ประกอบเป็นตติยาวิภัตติเข้ามา     [* เรียกว่า กัตตุรูป กัตตุสาธนะ ลงในอรรถแห่งตัสสีละ บ้าง  กัตตุรูป สีลสาธนะ บ้าง      แต่อย่างหลังไม่นิยม เพราะถือว่าในสาธนะทั้ง 7 ไม่มีสาธนะที่ชือว่า สีลสาธนะ] 3) สมาสรูป กัตตุสาธนะ ตัสสีละ  แปลว่า “ผู้มีการ (ความ, อัน) ...เป็นปกติ     ธมฺมํ  วตฺตุํ  สีลมสฺสาติ  ธมฺมวาที (ชโน)    : ..........ตุํ สีลมสฺสาติ ......... (.........)     ธมฺมํ  วตฺตุํ  อสฺส  (ชนสฺส)  สีลํ (โหติ)  อิติ  (โส  ชโน)  ธมฺมวาที     การกล่าว ซึ่งธรรม เป็นปกติ ของชน นั้น  เหตุนั้น  ชน นั้น ชื่อว่า ผู้มีการกล่าวซึ่งธรรมเป็นปกติ     ผู้ทำ (ชน) กิริยา “กล่าว” ในรูปวิเคราะห์   เป็นประธานของสาธนะ     ในรูปวิเคราะห์  ธาตุประกอบด้วย ตุํ ปัจจัย ใช้เป็นประธานของประโยค     มี สีล ศัพท์ (ปกติ) ประกอบเป็นปฐมาวิภัตติ  เป็นวิกติกัตตา     กัตตาผู้ทำกิริยาประกอบเป็นฉัฏฐีวิภัตติเข้ากับ ต ศัพท์ 4) สมาสรูป กัตตุสาธนะ ตัสสีละ  แปลว่า “ผู้มีการ (ความ, อัน)...เป็นปกติ     ธมฺมวทนสีโลติ ธมฺมวาที (ชโน)    : ...........-สีโลติ/-สีลาติ/-สีลนฺติ ..... (.....)     (โย ชโน) ธมฺมวทนสีโล  อิติ  (โส ชโน)  ธมฺมวาที     ชน ใด มีการกล่าวซึ่งธรรมเป็นปกติ  เหตุนั้น  ชน นั้น  ชื่อว่า ผู้มีการกล่าวซึ่งธรรมเป็นปกติ     ผู้ทำ (ชน) กิริยา “กล่าว” ในรูปวิเคราะห์   เป็นประธานของสาธนะ     ในรูปวิเคราะห์  มีบทพหุพพิหิสมาส ประกอบด้วย สีล ศัพท์ (ปกติ) * ใช้สกัมมธาตุอย่างเดียว     ปิยติ  ตนฺติ  ปิโย (ปุตฺโต)    : ..........ติ  ตนฺติ ......... (.........)     ปิตา  ตํ  ปุตฺตํ  ปิยติ  อิติ  โส  ปุตฺโต  ปิโย     บิดา  ย่อมรัก  ซึ่งบุตร นั้น  เหตุนั้น  บุตร นั้น  ชื่อว่า เป็นที่รัก (แห่งบิดา)     ผู้ถูกทำ (บุตร) ของกิริยา “รัก” ในรูปวิเคราะห์ เป็นประธานของสาธนะ     ในรูปวิเคราะห์  มีผู้ถูกทำเป็นทุติยาวิภัตติเข้ากับ ต ศัพท์ 2) กัมมรูป กัมมสาธนะ   แปลว่า  “(เป็นที่)อันเขา...”     ปิยิยเตติ  ปิโย (ปุตฺโต)    : ..........-ิยเตติ ......... (.........)     โย  ปุตฺโต  เตน  ปิยิยเต  อิติ  โส  ปุตฺโต   ปิโย     บุตร ใด  อันบิดา  ย่อมรัก  เหตุนั้น  บุตร นั้น  ชื่อว่า อันเขารักเป็นที่อันเขารัก (แห่งบุตร)     ผู้ถูกทำ (บุตร) ของกิริยา “รัก” ในรูปวิเคราะห์ เป็นประธานของสาธนะ 3) กัมมรูป กัมมสาธนะ  ที่ตั้งวิเคราะห์โดยใช้กิริยากิตก์ ตพฺพ ปัจจัย  แปลว่า “(เป็นที่)อันเขาพึง..”     กาตพฺพนฺติ  กิจฺจํ  (กมฺมํ)    : .........ตพฺโพติ/-ตพฺพาติ/-ตพฺพนฺติ ......... (.........)     ยํ  กมฺมํ  เตน  กาตพฺพํ  อิติ  ตํ  กมฺมํ  กิจฺจํ     กรรม ใด อันเขา พึงทำ  เหตุนั้น  กรรม นั้น  ชื่อว่า อันเขาพึงทำ, เป็นที่อันเขาพึงทำ (แห่งกรรม) * เป็น ภาวรูป ภาวสาธนะ เท่านั้น   แปลว่า  “การ/ความ/อัน...”     คจฺฉยเตติ  คมนํ    : ..........ยเตติ .........     เตน  คจฺฉยเต  เหตุนั้น  อิติ  คมนํ     อันเขา  ย่อมไป  ชื่อว่า คมนะ (การไป) 2) รูปวิเคราะห์เป็นกิริยากิตก์ ใช้อกัมมธาตุอย่างเดียว     คนฺตพฺพนฺติ  คมนํ    : .........ตพฺพนฺติ .........     เตน  คนฺตพฺพํ  อิติ  คมนํ     อันเขา  พึงไป  เหตุนั้น  ชื่อว่า คมนะ (การไป) 3) รูปวิเคราะห์เป็นนามกิตก์ (ลง ยุ ปัจจัย)  ใช้อกัมมธาตุ หรือ สกัมมธาตุก็ได้     คมนํ  คมนํ    : .........นํ, ณํ   .........    การไป  ชื่อว่า คมนะ (การไป)     ปจนํ  ปาโก  : .........นํ, ณํ   .........    การหุง  ชื่อว่า ปากะ (การหุง)     พนฺธติ  เตนาติ  พนฺธนํ (วตฺถุ)    : ..........ติ  เตนาติ, ตายาติ ......... (.........)     ชโน  เตน  วตฺถุนา  พนฺธติ  อิติ  ตํ  วตฺถุ  พนฺธนํ     ชน  ย่อมผูก  ด้วยวัตถุ นั้น  เหตุนั้น  วัตถุ นั้น ชื่อว่า เป็นเครื่องผูก, เป็นเหตุผูก (แห่งชน)     เครื่องทำ (วตฺถุ) ของกิริยา “ผูก” ในรูปวิเคราะห์   เป็นประธานของสาธนะ     ในรูปวิเคราะห์  มีเครื่องทำเป็นตติยาวิภัตติเข้ากับ ต ศัพท์ 2) กัมมรูป กรณสาธนะ   แปลว่า  “เป็นเครื่อง/เป็นเหตุ อันเขา...”     พนฺธิยเต  เตนาติ  พนฺธนํ (วตฺถุ)    : ..........-ิยเต  เตนาติ, ตายาติ ......... (.........)     (เตน  รุกฺโข)  เตน  วตฺถุนา  พนฺธิยเต   อิติ  ตํ  วตฺถุ  พนฺธนํ     ต้นไม้  อันเขา ย่อมผูก ด้วยวัตถุ นั้น  เหตุนั้น วัตถุ นั้น ชื่อว่า เป็นเครื่องอันเขาผูก, เป็นเหตุอันเขาผูก (แห่งต้นไม้) * ใช้สกัมมธาตุ ทา ธาตุ อย่างเดียว     สมฺปเทติ  ตสฺสาติ  สมฺปทาโน (ปุคฺคโล)    : ..........ติ  ตสฺสาติ ......... (.........)     ชโน  ตสฺส  ปุคฺคลสฺส  สมฺปเทติ  อิติ  โส  ปุคฺคโล  สมฺปทาโน     ชน  ย่อมมอบให้  แก่บุคคล นั้น  เหตุนั้น  บุคคล นั้น ชื่อว่า เป็นที่มอบให้ (แห่งชน)     ผู้รับมอบ (ปุคฺคล) ของกิริยา “มอบให้” ในรูปวิเคราะห์   เป็นประธานของสาธนะ     ในรูปวิเคราะห์  มีผู้รับมอบเป็นจตุตถีวิภัตติเข้ากับ ต ศัพท์ 2) กัมมรูป สัมปทานสาธนะ   แปลว่า  “เป็นที่อันเขา...”     สมฺปทิยเต  ตสฺสาติ  สมฺปทาโน (ปุคฺคโล)    : ............-ิยเต  ตสฺสาติ ......... (.........)     (เตน  สกฺกาโร)  ตสฺส  ปุคฺคลสฺส  สมฺปทิยเต  อิติ  โส  ปุคฺคโล  สมฺปทาโน     สักการะ อันเขา ย่อมมอบให้  แก่บุคคล นั้น  เหตุนั้น  บุคคล นั้น ชื่อว่า เป็นที่อันเขามอบให้ (แห่งสักการะ) * ใช้อกัมมธาตุอย่างเดียวปภา สรติ  ตสฺมาติ  ปภสฺสโร  (เทวกาโย)     : ..........ติ  ตสฺมาติ, ตายาติ ......... (.........)ปภา   ตสฺมา เทวกายสฺมา  สรติ  อิติ   โส เทวกาโย  ปภสฺสโรรัศมี  ย่อมซ่านออก  จากกายของเทวดา นั้น   เหตุนั้น กายของเทวดา นั้น  ชื่อว่า เป็นแดนซ่านออกแห่งรัศมีที่ที่จากไป (เทวกาย) ของกิริยา “ซ่านออก” ในรูปวิเคราะห์   เป็นประธานของสาธนะในรูปวิเคราะห์  มีที่ที่จากไป เป็นปัญจมีวิภัตติเข้ากับ ต ศัพท์     นิสีทติ  เอตฺถาติ  นิสีทนํ  (ฐานํ)    : ............ติ  เอตฺถาติ ......... (.........)     ชโน  เอตฺถ  ฐาเน  นิสีทติ  อิติ  เอตํ  ฐานํ  นิสีทนํ     ชน  ย่อมนั่ง  ในที่ นั่น  เหตุนั้น   ที่ นั่น  ชื่อว่า เป็นที่นั่ง (แห่งชน)     ที่ทำ (ฐาน) ของกิริยา “นั่ง” ในรูปวิเคราะห์  เป็นประธานของสาธนะ     ในรูปวิเคราะห์  มีที่ทำ เป็นสัตตมีวิภัตติเข้ากับ เอตฺถ ศัพท์ 2) กัมมรูป อธิกรณสาธนะ   แปลว่า  “เป็นที่อันเขา...”     สุณิยเต  เอตฺถาติ  สวโน (กาโล)    : ............-ิยเต  เอตฺถาติ ......... (.........)     (ชเนหิ  ธมฺโม)  เอตฺถ  กาเล  สุณิยนฺเต  อิติ  เอโส กาโล  สวโน     (ธรรม  อันชน ท.) ย่อมฟัง  ในกาล นั่น  เหตุนั้น  กาล นั่น  ชื่อว่า เป็นที่อันเขาฟัง (แห่งธรรม)     ที่ทำ (กาล) ของกิริยา “ฟัง” ในรูปวิเคราะห์  เป็นประธานของสาธนะอกัมมธาตุเป็นได้  2 รูป (กัตตุรูป กับ ภาวรูป)  5 สาธนะ  (เว้นกัมมสาธนะ และสัมปทานสาธนะ)ภาวสาธนะ    ที่รูปวิเคราะห์เป็นกิริยาอาขยาต กิริยากิตก์  ใช้ อกัมมธาตุ เท่านั้น                 ที่รูปวิเคราะห์เป็นนามกิตก์  ใช้ได้ทั้ง สกัมมธาตุ และ อกัมมธาตุกัตตุรูป  กัตตุสาธนะกัตตุรูป  กัตตุสาธนะ  (ตัสสีละ)กัมมรูป  กัมมสาธนะย ใส่ด้านรูปวิเคราะห์   ต ใส่ด้านสาธนะ   และพึงใส่ให้ตรงกับลิงค์ของนามนามด้วย  เช่น          ปุงลิงค์       อิตถีลิงค์       นปุงสกลิงค์เอก.   โย  โส          ยา  สา        ยํ      ตํพหุ.    เย  เต           ยา  ตา        ยานิ  ตานิ     นอกนั้น เวลาแปล ให้ใส่เพิ่ม ต ด้านสาธนะอย่างเดียว   เวลา:  กาโล, เวลา, ทิวโส ทิวสํ, สํวจฺฉโร สํวจฺฉรํ, อุตุ (ปุํ. นปุํ.), วสฺสํ, สมโย, รตฺติ    สถานที่:  ฐานํ, ปเทโส, เคหํ กิตปัจจัย เป็นกัตตุสาธนะอย่างเดียวกิจจปัจจัย เป็นได้ 2 สาธนะ  คือ  กัมมสาธนะ และ ภาวสาธนะกิตปัจจัย  เป็นได้ทั้ง 7 สาธนะสกัมมธาตุเป็นได้ 6 สาธนะ  คือ เว้นอปาทานสาธนะอกัมมธาตุเป็นได้ 5 สาธนะ  คือ เว้นกัมมสาธนะ และ สัมปทานสาธนะโดยนำคำแปลของธาตุ  จากศัพท์นามกิตก์ (สาธนะ) มาแปลเข้ากับอัญญบท ถ้าคำแปลสำเนียงอายตนิบาตใดฟังแล้วเข้ากับกิริยานั้นดี  ก็แสดงว่าเป็นสาธนะนั้นๆ  เช่นสมฺปทาโน (ปุคฺคโล)สมฺปทาโน  มาจาก สํ  ป บทหน้า  ทา ธาตุ  “ให้”ถ้าแปลว่า “บุคคล ให้”       บุคคล เป็นผู้ทำกิริยาให้  แสดงว่าศัพท์นามกิตก์นี้เป็นกัตตุสาธนะได้ถ้าแปลว่า “ให้ ซึ่งบุคคล”    บุคคล เป็นผู้ถูกให้ แสดงว่าศัพท์นามกิตก์นี้เป็นกัมมสาธนะได้ถ้าแปลว่า “ให้ ด้วยบุคคล”  บุคคล เป็นเครื่องให้ แสดงว่าศัพท์นามกิตก์นี้เป็นกรณสาธนะได้ถ้าแปลว่า “ให้ แก่บุคคล”    บุคคล เป็นผู้รับมอบให้ แสดงว่าศัพท์นามกิตก์นี้เป็นสัมปทานสาธนะได้ถ้าแปลว่า “ให้ จากบุคคล”  บุคคล เป็นแดนจากไป ของกิริยาให้ แสดงว่าศัพท์นามกิตก์นี้เป็นอปาทานสาธนะได้ถ้าแปลว่า “ให้ ที่บุคคล”     บุคคล เป็นที่ให้ แสดงว่าศัพท์นามกิตก์นี้เป็นอธิกรณสาธนะได้แต่ถ้าศัพท์นามกิตก์นั้นไม่มีอัญญบท  แสดงว่านามกิตก์นั้นเป็นภาวสาธนะ (เฉพาะคำแปลว่า  “เป็นที่” “เป็นที่อันเขา”   มีใน 3 สาธนะ)ตัวอย่าง    สยนํ (มญฺจกํ)  อ.เตียง เป็นที่นอน   สี ธาตุในความนอน  ลง ยุ ปัจจัย - สยนํ  ลง ยุ ปัจจัย เป็นได้ทุกสาธนะ - สี ธาตุในความนอน เป็นอกัมมธาตุ เป็นได้ 5 สาธนะ คือ กัตตุ-กรณ-ภาว-อปาทาน-อธิกรณสาธนะ - คำแปลว่า “เป็นที่” เป็นได้ 3 สาธนะ - ถ้าให้รูปวิเคราะห์มาว่า  สยนฺติ เอตฺถาติ  แสดงว่าเป็นอธิกรณศัพท์สาธนะ (ดูจาก เอตฺถ) –  วิเคราะห์เป็นกัมมรูป   สาธนะมีคำแปลว่า “อันเขา” –  สาธนะที่แปลว่า  “เป็นที่...” (กัตตุรูป) “เป็นที่อันเขา...” (กัมมรูป) มี 3 สาธนะ คือ กัมมสาธนะ สัมปทานสาธนะ และอธิกรณสาธนะ –  วิเสสนสัพพนามในรูปวิเคราะห์ทั้งหลาย จะใช้ ต  เอต  หรือ  อิม ศัพท์ ศัพท์ก็ได้       และประกอบเป็นพหุวจนะก็ได้  เช่น  เต, ตานิ, เอเต, เอตานิ  เป็นต้น       ในอธิกรณสาธนะนิยมใช้ เอตฺถ แทน (เป็นอัพยยะ ใช้ได้กับทุกลิงค์) –   วิเคราะห์เป็นกัตตุรูป    มีใน 6 สาธนะ (คือเว้นภาวสาธนะ)      วิเคราะห์เป็นกัมมรูป    มีใน 4 สาธนะ (คือเว้นกัตตุสาธนะ ภาวสาธนะ และ อปาทานสาธนะ)      วิเคราะห์เป็นภาวรูป    มีในภาวสาธนะเท่านั้น

รูป      
สาธนะ
รูปวิเคราะห์    สาธนะ    อัญญบท
คำแปลสาธนะ
1.
กัตตุรูป
กัตตุสาธนะ
......    -ตีติ ......... (.........)
ผู้...”
กัตตุรูป
กัตตุสาธนะ ตัสสีละ
......    -ติ  สีเลนาติ ......... (.........)
ผู้...โดยปกติ”
สมาสรูป
กัตตุสาธนะ ตัสสีละ
......    -ตุํ  สีลมสฺสาติ ......... (.........)
ผู้มีการ/ความ/อัน...เป็นปกติ”
......    -สีโลติ/-สีลาติ/-สีลนฺติ ......... (.........)
2.
กัตตุรูป
กัมมสาธนะ
......    -ติ  ตนฺติ ......... (.........)
เป็นที่...”
กัมมรูป
......    -อิยเตติ ......... (.........)
“(เป็นที่)อันเขา...”
กัมมรูป
......    -ตพฺโพติ/-ตพฺพาติ/-ตพฺพนฺติ ... (...)
“(เป็นที่)อันเขาพึง...”
3.
ภาวรูป
ภาวสาธนะ
......    -ยเตติ .........
ความ/การ/อัน...”
......    -ตพฺพนฺติ .......
......    -นํ, -ณํ   .........
4.
กัตตุรูป
กรณสาธนะ
......    -ติ  เตนาติ, ตายาติ ......... (.....)
เป็นเครื่อง/เป็นเหตุ...”
กัมมรูป
......    -อิยเต  เตนาติ, ตายาติ .... (.....)
เป็นเครื่อง/เหตุ อันเขา...”
5.
กัตตุรูป
สัมปทานสาธนะ
......    -ติ  ตสฺสาติ ......... (.........)
เป็นที่...”
กัมมรูป
......    -อิยเต  ตสฺสาติ ......... (.........)
เป็นที่อันเขา...”
6.
กัตตุรูป
อปาทานสาธนะ
......    -ติ  ตสฺมาติ, ตายาติ ........ (.........)
เป็นแดน...”
7.
กัตตุรูป
อธิกรณสาธนะ
......    -ติ  เอตฺถาติ ......... (.........)
เป็นที่...”
กัมมรูป
......    -อิยเต  เอตฺถาติ ......... (.........)
เป็นที่อันเขา...”
1.
กัตตุรูป กัตตุสาธนะ
เทตีติ  ทายโก (ชโน)


กัตตุรูป กัตตุสาธนะ ตัสสีละ
ธมฺมํ  วทติ  สีเลนาติ  ธมฺมวาที (ชโน)


สมาสรูป กัตตุสาธนะ ตัสสีละ
ธมฺมํ  วตฺตุํ  สีลมสฺสาติ  ธมฺมวาที (ชโน)



ธมฺมวทนสีโลติ ธมฺมวาที (ชโน)

2.
กัตตุรูป กัมมสาธนะ
ปิยติ  ตนฺติ  ปิโย (ปุตฺโต)
สกัมมธาตุ

กัมมรูป กัมมสาธนะ
ปิยิยเตติ  ปิโย (ปุตฺโต)

กัมมรูป กัมมสาธนะ
กาตพฺพนฺติ  กิจฺจํ  (กมฺมํ)
3.
ภาวรูป ภาวสาธนะ
คจฺฉยเตติ  คมนํ
อกัมมธาตุ


คนฺตพฺพนฺติ  คมนํ


คมนํ  คมนํ, ปจนํ  ปาโก

4.
กัตตุรูป กรณสาธนะ
พนฺธติ  เตนาติ  พนฺธนํ (วตฺถุ)


กัมมรูป กรณสาธนะ
พนฺธิยเต  เตนาติ  พนฺธนํ (วตฺถุ)

5.
กัตตุรูป สัมปทานสาธนะ
สมฺปเทติ  ตสฺสาติ  สมฺปทาโน (ปุคฺคโล)
สกัมมธาตุ

กัมมรูป สัมปทานสาธนะ
สมฺปทิยเต  ตสฺสาติ  สมฺปทาโน (ปุคฺคโล)
6.
กัตตุรูป อปาทานสาธนะ
ปภา สรติ  ตสฺมาติ  ปภสฺสโร (เทวกาโย)
อกัมมธาตุ
7.
กัตตุรูป อธิกรณสาธนะ
นิสีทติ  เอตฺถาติ  นิสีทนํ  (ฐานํ)


กัมมรูป อธิกรณสาธนะ
สุณิยเต  เอตฺถาติ  สวโน (กาโล)

วิธีตั้งวิเคราะห์ ใน 7 สาธนะ  (ดู รูปแบบการตั้งรูปวิเคราะห์ใน 7 สาธนะ ประกอบด้วย)ถ้านามกิตก์นั้นมีคำแปลว่า “พึง”  ให้ประกอบธาตุเป็นกิริยากิตก์ ตพฺพ ปัจจัย  ลงวิภัตตินามให้ตรงกับลิงค์และวจนะของอัญญบท   • ใส่ อิติ ศัพท์ ในระหว่างรูปวิเคราะห์กับสาธนะ เสมอ  (ยกเว้นภาวสาธนะ ที่รูปวิเคราะห์เป็นนามกิตก์ ยุ ปัจจัย)ยกเว้นบทหน้าแปลออกสำเนียงฉัฏฐีวิภัตติ   ให้แยกออกมาประกอบเป็นปฐมาวิภัตติ  กุมฺภํ  กโรตีติ  กุมฺภกาโร (ชโน)    กมฺมํ  กโรตีติ  กมฺมกาโร (ชโน)อุเรน  คจฺฉตีติ  อุรโค (สตฺโต)อรุโณ  อุคฺคจฺฉติ  เอตฺถาติ  อรุณุคฺคมโน (กาโล)สพฺพํ  ชานาตีติ  สพฺพญฺญู (ภควา)และกิริยาวิเสสนะนี้แปลไม่ออกสำเนียงวิภัตติ   เช่นตุรํ  คจฺฉตีติ  ตุรโค (สตฺโต)กฺวิ ปัจจัย ลงหลังธาตุที่มีบทหน้า (บทหน้าเป็นนามศัพท์บ้าง อุปสัคบ้าง นิบาตบ้าง)  เมื่อลงแล้วลบ กฺวิ เสียเป็นคุณนาม เป็นได้ 3 ลิงค์  เช่น วาริโช (ปุ.) วาริชา (อิต.) วาริชํ (นปุ.)ถ้าใช้เป็นนามนามเลย คงเป็นลิงค์ใดลิงค์หนึ่งเท่านั้น เช่น สยมฺภู  อุรโค ตุรโค เป็นปุงลิงค์   ปภา วิภา เป็นอิตถีลิงค์
1.
ลงหลังธาตุพยางค์เดียว  ลบ กฺวิ  เช่น

สยมฺภู
ภู
สยํ  ภวตีติ  สยมฺภู (ภควา)  ผู้เป็นเอง  สยํ-ภู-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.
(โย ภควา) สยํ  ภวติ อิติ  (โส ภควา) สยมฺภู
พระผู้มีพระภาคเจ้า ใด  ย่อมเป็น เอง  เหตุนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้า นั้น  ชื่อว่า ผู้เป็นเอง

สพฺพาภิภู
ภู
สพฺพํ  อภิภวตีติ  สพฺพาภิภู (ภควา)  ผู้ครอบงำซึ่งสิ่งทั้งปวง  สพฺพ-อภิ-ภู-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

อภิภู
ภู
อภิ  วิสิฏฺเฐน  ภวตีติ  อภิภู (พุทฺโธ)   อภิ ไขความออกเป็น วิสิฏฺเฐน  อภิ-ภู-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.
พระพุทธเจ้า ใด ย่อมเป็นยิ่ง  คือว่า โดยยิ่ง  เหตุนั้น  พระพุทธเจ้า นั้น  ชื่อว่า  ผู้เป็นยิ่ง

มารชิ
ชิ
มารํ  ชินาตีติ  มารชิ (ภควา) ผู้ชนะซึ่งมาร  มาร-ชิ-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

ปภา
ภา
ปภาตีติ ปภา (ธมฺมชาติ) ผู้ส่องสว่าง, รัศมี  ป-ภา-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.
2.
ลงหลังธาตุ 2 พยางค์ ให้ลบที่สุดธาตุ  แล้วลบ กฺวิ

อนฺตโก
กร
อนฺตํ  กโรตีติ  อนฺตโก (มจฺจุ)  ผู้กระทำซึ่งที่สุด, ความตาย   อนฺต-กร-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

ภติโก
กร
ภตึ กโรตีติ ภติโก (ชโน) ผู้ทำซึ่งการรับจ้าง   ภติ-กร-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

สงฺโข
ขน
สํ สุฏฺฐุ  ขนตีติ  สงฺโข (สตฺโต) ผู้ขุดดี   สํ-ขน-กฺวิ  ลบที่สุดธาตุ  กัตตุ. กัตตุ.
สัตว์ใด  ย่อมขุด ดี  คือว่า ด้วยดี  เหตุนั้น  สัตว์นั้น  ชื่อว่า ผู้ขุดดี

อุรโค
คม
อุเรน (อุรสา) คจฺฉตีติ  อุรโค (สตฺโต)  ผู้ไปด้วยอก   อุร-คม-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

ภุชโค
คม
ภุเชน คจฺฉตีติ  ภุชโค ภุชงฺโค (สตฺโต) ผู้ไปด้วยขนด, งู  ภุช-คม-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.  บทหลังลงนิคคหิตอาคม

ตุรโค
คม
ตุรํ  คจฺฉตีติ  ตุรโค ตุรงฺโค (สตฺโต) ผู้ไปเร็ว, ม้า  ตุร-คม-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.  บทหลังลงนิคคหิตอาคม

วิหโค
คม
วิหายเส คจฺฉตีติ วิหโค (สตฺโต) ผู้ไปในท้องฟ้า, นก  วิหายส-คม-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

นโค
คม
น คจฺฉตีติ  นโค นงฺโค อโค ผู้ไม่ไป (คืออยู่กับที่), ต้นไม้, ภูเขา, ปราสาท  น-คม-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

กุญฺชโร
รม
กุญฺเช  รมตีติ  กุญฺชโร (สตฺโต) ผู้ยินดีในเงื้อมเขา, ช้าง  กุญฺช-รม-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

อตฺรโช
ชน
อตฺตนา ชายตีติ อตฺรโช (ปุตฺโต)  ผู้เกิดจากตน  อตฺต-ชน-กฺวิ  แปลง ต เป็น ร  กัตตุ. กัตตุ.

กมฺมโช
ชน
กมฺเมหิ ชายตีติ กมฺมโช (ชโน)  ผู้เกิดจากกรรม  กมฺม-ชน-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

กมฺมโช
ชน
กมฺมโต ชาโตติ  กมฺมโช (วิปาโก) อันเกิดแล้วจากกรรม  กมฺม-ชน-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.



กมฺมโต ชาตาติ กมฺมชา (ปฏิสนฺธิ)
กมฺมโต ชาตนฺติ กมฺมชํ (รูปํ) 

วาริชํ
ชน
วาริมฺหิ ชาตํ วาริชํ (อุปฺปลํ) อันเกิดในน้ำ, บัว  วาริ-ชน-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

วาริโช
ชน
วาริมฺหิ ชาโต  วาริโช (สตฺโต) อันเกิดในน้ำ, ปลา  วาริ-ชน-กฺวิ

ปงฺกชํ
ชน
ปงฺเก ชาตํ  ปงฺกชํ (ปุปฺผํ) อันเกิดในตม, ดอกบัว  ปงฺก-ชน-กฺวิ

อณฺฑโช
ชน
อณฺฑโต ชายตีติ  อณฺฑโช ผู้เกิดจากไข่  อณฺฑ-ชน-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

ชลโช
ชน
ชเล ชาโต ชลโช ผู้เกิดในน้ำ  ชล-ชน-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

อนุโช
ชน
ปจฺฉา/อนุ ชาโต อนุโช ผู้เกิดภายหลัง  อนุ-ชน-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

ทฺวิโช
ชน
ทฺวิกฺขตฺตุํ ชายตีติ/ชาโต/ชาโตติ ทฺวิโช ทิโช ผู้เกิดสองหน, นก, พราหมณ์  ทฺวิ-ชน-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.

อีทิโส
ทิส
อิมํ อิว  นํ ปสฺสตีติ อีทิโส (ปุริโส) ผู้เช่นนี้  อิม-ทิส-กฺวิ แปลง อิม เป็น อิ
(ชน ย่อมเห็น ซึ่งบุรุษนั้น เพียงดัง บุคคลนี้  เหตุนั้น  บุรุษนั้น ชื่อว่า ผู้ถูกเห็นเหมือนบุคคลนี้)


ทิส
อยํ วิย ทิสฺสตีติ อีทิโส (ปุริโส) ผู้เช่นนี้
(บุรุษใด อันเขา ย่อมเห็น เพียงดัง บุคคลนี้  เหตุนั้น  บุรุษนั้น ชื่อว่า อันเขาเห็นเพียงดังบุคคลนี้)

ปุ.
อิต.
นปุ.


อีทิโส
อีทิสา อีทิสี
อีทิสํ
ผู้/อันเช่นนี้
อิม-ทิส-กฺวิ แปลง อิม เป็น อิ
ยาทิโส
ยาทิสา ยาทิสี
ยาทิสํ
ผู้/อันเช่นใด
ย-ทิส-กฺวิ  ทีฆะ อ ที่ ย
ตาทิโส
ตาทิสา ตาทิสี
ตาทิสํ
ผู้/อันเช่นนั้น
ต-ทิส-กฺวิ  ทีฆะ อ ที่ ต
ตาทิโส
ตาทิสา ตาทิสี
-
ผู้เช่นกับด้วยท่าน
ตุมฺห-ทิส-กฺวิ  แปลง ตุมฺห เป็น ตา
ตุมฺหาทิโส
ตุมฺหาทิสี
-
ผู้เช่นกับด้วยท่าน
ตุมฺห-ทิส-กฺวิ  ทีฆะ อ ที่ ห
มาทิโส
มาทิสา มาทิสี
-
ผู้เช่นกับด้วยเรา
อมฺห-ทิส-กฺวิ  แปลง อมฺห เป็น มา
กีทิโส
กีทิสา กีทิสี
กีทิสํ
ผู้/อันเช่นไร
กึ-ทิส-กฺวิ  ลบนิคคหิต แล้วทีฆะ อิ
เอตาทิโส
เอตาทิสา เอตาทิสี
เอตาทิสํ
ผู้/อันเช่นนั่น
เอต-ทิส-กฺวิ  ทีฆะ อ ที่ ต
สทิโส
สทิสา สทิสี
สทิสํ
ผู้/อันเช่นกับ
สมาน-ทิส-กฺวิ  แปลง สมาน เป็น ส

เฉพาะ วิท ธาตุ  ไม่ลบที่สุดธาตุ  แต่ลง อู อาคม (ถ้าลง รู ปัจจัย ต้องลบที่สุดธาตุ)

โลกวิทู
วิท
โลกํ  วิทตีติ  โลกวิทู (ภควา) ผู้รู้ซึ่งโลก   โลก-วิท-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.  (โลกํ เวทยติ)

สพฺพวิทู
วิท
สพฺพํ  วิทตีติ  สพฺพวิทู (ภควา)  ผู้รู้ซึ่งธรรมทั้งปวง  สพฺพ-วิท-กฺวิ  กัตตุ. กัตตุ.  (สพฺพํ เวทยติ)

กิตก์ที่เป็นนามนามหรือคุณนาม เรียกว่า นามกิตก์
กิริยากิตก์ จัดเป็น วาจก  และมีปัจจัยเป็นเครื่องบอกวาจก และกาล
เมื่อนำธาตุ มาลงปัจจัยนามกิตก์ และลงวิภัตตินาม  ก็สำเร็จเป็นนามกิตก์ได้ 
กร (ทำ)       +     ณฺวุ             +      สิ         =  การโก (ผู้ทำ)
* ถ้าลงปัจจัยนามกิตก์ที่เป็นอัพยยะ (ตเว ตุํ)  ก็ไม่ต้องลงวิภัตตินาม
แต่ศัพท์นามกิตก์นี้จะเป็นสาธนะอะไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าลงปัจจัยพวกไหน เช่น 


สาธนะ คือ ศัพท์ที่สำเร็จมาจากรูปวิเคราะห์*   แบ่งเป็น 7 คือ
นามกิตก์ที่เป็น ภาวสาธนะ  เป็นนามนาม  แปลออกสำเนียงอายตนิบาตได้
[สาธนะนั้น สำเร็จมาจากรูปวิเคราะห์  และ รูปวิเคราะห์ ก็คือการเอาสาธนะมาแยก (วิคฺคห) ธาตุ ปัจจัย บทหน้า มาประกอบเป็นรูปประโยคตามวาจกต่างๆ
รูปวิเคราะห์ คือ การแยกธาตุ ปัจจัย บทหน้า ของสาธนะ (ศัพท์นามกิตก์) ออกจากกัน
รูปวิเคราะห์แห่งสาธนะ จัดเป็น 3 คือ
1.               วิเคราะห์เป็น กัตตุวาจก และ เหตุกัตตุวาจก    เรียกว่า กัตตุรูป
2.               วิเคราะห์เป็น กัมมวาจก และ เหตุกัมมวาจก    เรียกว่า กัมมรูป
3.               วิเคราะห์เป็น ภาววาจก                              เรียกว่า ภาวรูป
ตัวอย่าง   ทายโก ผู้ให้      ตั้งวิเคราะห์  ว่า  เทตีติ  ทายโก  (ชโน)  ชน ใด ย่อมให้  เหตุนั้น ชน นั้น ชื่อว่า ผู้ให้
เทติ อิติ  เป็นรูปวิเคราะห์   ทายโก  เป็นสาธนะ
ศัพท์นามกิตก์ที่เป็นคุณนาม ใช้เป็นบทวิเสสนะของนามนามอื่น เช่น
ตามตัวอย่างข้างบน  ทายโก, ทายกสฺส เป็นนามกิตก์ที่เป็นคุณนามใช้เป็นบทวิเสสนะของนามนาม  คือ   ชโน และ ชนสฺส
สาธนะ แบ่งเป็น คือ
1.               กัตตุสาธนะ  เป็นชื่อของผู้ทำ   มีผู้ทำกิริยาในรูปวิเคราะห์ เป็นประธานของสาธนะ
1) กัตตุรูป กัตตุสาธนะ   แปลว่า “ผู้
2.               กัมมสาธนะ เป็นชื่อของสิ่งที่เขาทำ   มีผู้ถูกทำ (กรรม) ของกิริยาในรูปวิเคราะห์ เป็นประธานของสาธนะ
1) กัตตุรูป กัมมสาธนะ   แปลว่า “เป็นที่...”
3.               ภาวสาธนะ  บอกกิริยา คือความทำ
1) รูปวิเคราะห์เป็นกิริยาอาขยาต ใช้อกัมมธาตุอย่างเดียว
4.               กรณสาธนะ  เป็นชื่อของเครื่องทำ   มีเครื่องทำ ของกิริยาในรูปวิเคราะห์ เป็นประธานของสาธนะ
1) กัตตุรูป กรณสาธนะ   แปลว่า  “เป็นเครื่อง/เป็นเหตุ...”
5.               สัมปทานสาธนะ   เป็นชื่อของผู้รับมอบ   มีผู้รับมอบ ของกิริยาในรูปวิเคราะห์ เป็นประธานของสาธนะ
1) กัตตุรูป สัมปทานสาธนะ   แปลว่า  “เป็นที่...”
6.               อปาทานสาธนะ  เป็นชื่อของที่ที่จากไป  มีที่ที่จากไป ของกิริยาในรูปวิเคราะห์ เป็นประธานของสาธนะ
เป็น กัตตุรูป อปาทานสาธนะ เท่านั้น  แปลว่า  “เป็นแดน...”
7.               อธิกรณสาธนะ  เป็นชื่อของที่ทำ (สถานที่ทำ เวลาที่ทำ)   มีที่ทำ ของกิริยาในรูปวิเคราะห์ เป็นประธานของสาธนะ
1) กัตตุรูป อธิกรณสาธนะ   แปลว่า  “เป็นที่...”
ข้อสังเกต
1.               สัมปทานสาธนะ และ อปาทานสาธนะ มีที่ใช้น้อย
2.               สกัมมธาตุเป็นได้ 3 รูป (เฉพาะภาวรูป ใช้ได้แต่รูปวิเคราะห์ที่เป็นนามกิตก์)  6 สาธนะ (เว้นอปาทานสาธนะ)
3.               ภาววาจก  ในกิริยาอาขยาต กิริยากิตก์  ใช้ อกัมมธาตุเท่านั้น
4.               เวลาแปล  รูปวิเคราะห์ที่ต้องใส่ ย ต สัพพนามเพิ่มเข้ามา  มี คือ
5.               นามกิตก์ที่มีศัพท์เกี่ยวกับกาลเวลา สถานที่ เป็นอัญญบท มักเป็นอธิกรณสาธนะ
6.               วิธีสังเกตศัพท์นามกิตก์ ว่าเป็นสาธนะใด
1.               สังเกตที่ ปัจจัย
2.               สังเกตที่ ธาตุ
3.               สังเกตที่ อัญญบท
4.               สังเกตที่ คำแปลสาธนะ  ว่าคำแปลนั้นๆ เป็นคำแปลของสาธนะอะไร 
5.               สังเกตที่ รูปวิเคราะห์  รูปวิเคราะห์จะเป็นเครื่องบอกได้แน่นอนว่า ศัพท์นามกิตก์ศัพท์นั้นๆ เป็นสาธนะอะไร
รูปแบบการตั้งรูปวิเคราะห์ใน 7 สาธนะ

ตัวอย่างการตั้งรูปวิเคราะห์  ทุกรูป ทุกสาธนะ

1.               ตั้งวิเคราะห์เป็นกัตตุรูป  ให้แยกธาตุของนามกิตก์ มาประกอบเป็นกิริยาอาขยาต กัตตุวาจก หรือเหตุกัตตุวาจก  ลง ติ อนฺติ วิภัตติวัตตมานา
2.               ตั้งวิเคราะห์เป็นกัมมรูป  ให้แยกธาตุของนามกิตก์ มาประกอบเป็นกิริยาอาขยาต กัมมวาจก
3.               ตั้งวิเคราะห์เป็นภาวรูป
1.               ถ้าศัพท์นามกิตก์นั้นใช้ อกัมมธาตุ ให้แยกธาตุมาประกอบเป็นกิริยาอาขยาต ภาววาจก หรือ ประกอบเป็นกิริยากิตก์ ตพฺพ ปัจจัย ปฐมา. นปุํ. เอก. (มีรูปเป็น  -ตพฺพํ อย่างเดียว) หรือ ประกอบเป็นนามกิตก์ ยุ ปัจจัย  เป็นนามนาม เอกวจนะ ตามลิงค์ที่ใช้กันอยู่
2.               ถ้าศัพท์นามกิตก์นั้นใช้ สกัมมธาตุ ให้แยกธาตุมาประกอบเป็นนามกิตก์อย่างเดียว ลง ยุ ปัจจัย  เป็นนามนาม เอกวจนะ ตามลิงค์ที่ใช้กันอยู่
4.               ถ้านามกิตก์นั้นมีบทหน้า
1.               บทหน้าเป็นนามนาม สัพพนาม แปลออกสำเนียงวิภัตติใด ให้แยกออกมาประกอบเป็นวิภัตตินั้น 
2.               บทหน้าเป็นกิริยาวิเสสนะ  แยกออกมาประกอบเป็นทุติยาวิภัตติ เอกวจนะ ตามเดิม    
3.               บทหน้าเป็นอุปสัค  ให้ประกอบเข้ากับธาตุเลย เช่น  อภิภวตีติ  อภิภู (ภควา)
4.               บทหน้าเป็นนิบาต  ให้แยกออกมาเป็นรูปเดิม  เช่น  สยํ  ภวตีติ  สยมฺภู (ภควา)
วิธีลงปัจจัยนามกิตก์
ปัจจัยนามกิตก์ มี 14 ตัว
1.               กิตปัจจัย เป็นเครื่องหมาย กัตตุสาธนะ   มี 5 คือ  กฺวิ  ณี  ณฺวุ  ตุ  รู
2.               กิจจปัจจัย เป็นเครื่องหมาย กัมมสาธนะ และ ภาวสาธนะ  มี 2 คือ    ณฺย
3.               กิตกิจจปัจจัย เป็นเครื่องหมาย สาธนะทั้ง 7   มี 7 คือ    อิ    ตเว  ติ  ตุํ  ยุ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น